แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 6 ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บังคับให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ซึ่งรวมถึงค่าทนายความที่ศาลสั่งด้วย เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบศาลชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ได้ทันที กรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อนจึงจะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ดังนั้นอุทธรณ์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งในกรณีนี้ต้องคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยเริ่มประพฤตินอกใจโจทก์และถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานที่บริษัทของจำเลยเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2539 หลังจากได้รับการประกันตัวจำเลยขนย้ายทรัพย์สินหนี้ออกจากบ้านไป การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความอับอายและทรมานจิตใจ นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 18 เดือนเศษ ถือว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกิน 1 ปี โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยต่อไป ขอให้บังคับจำเลยหย่าขาดกับโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติชั่วนอกใจโจทก์ ไม่เคยประพฤติตนให้เป็นที่เสื่อมเสีย ช่วยหารายได้จุนเจือครอบครัวมาโดยตลอด แต่โจทก์กลับเที่ยวเตร่และเล่นการพนัน เมื่อจำเลยว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ก็หาเรื่องทะเลาะและขับไล่จำเลยหลายครั้งต่อมาประมาณปลายปี 2539 จำเลยถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานและขอร้องให้โจทก์ช่วยประกันตัว แต่โจทก์ไม่ช่วยเหลือและยังขับไล่ให้จำเลยออกจากบ้าน โดยขนของใช้และทรัพย์สินของจำเลยออกมานอกบ้านแล้วบอกให้นำทรัพย์สินไปมิฉะนั้นจะนำไปทิ้ง จำเลยพยายามพูดขอคืนดีกับโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยินยอม จำเลยจึงต้องกลับมาพักอาศัยอยู่กับบิดามารดาของจำเลย ซึ่งภายหลังออกจากบ้านโจทก์แล้วโจทก์ก็ไม่เคยช่วยเหลือส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูจำเลย จนจำเลยต้องยื่นฟ้องโจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นคดีหมายเลขดำที่ 167/2540 ของศาลชั้นต้นการที่จำเลยออกจากบ้านของโจทก์ไม่ได้มีเจตนาทิ้งร้างหรือสมัครใจแยกกันจากโจทก์ จำเลยไม่ประสงค์จะหย่าขาดจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2543 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติบังคับไว้ว่า ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวหมายความรวมถึงค่าทนายความที่ศาลสั่งด้วย ปรากฏว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ได้ทันทีเพราะกรณีที่ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์นี้ไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งศาลจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน จึงจะสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความ ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ประการอื่นอีกต่อไป อนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ส่งคืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข”
พิพากษายืน ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์