แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ ได้ว่าจ้าง พ.ไปยึดรถคันดังกล่าวคืนมา พ.ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการยึดอีกต่อหนึ่ง เมื่อยึดรถได้แล้วจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาเพื่อมอบให้ พ. ระหว่างทางจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 จ้าง พ.ไปยึดรถยนต์เป็นการจ้างทำของมิใช่จ้างแรงงาน เพราะเป็นการถือเอาความสำเร็จของงานเป็นวัตถุประสงค์ของสัญญา มิใช่สัญญาระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง เมื่อ พ.จ้างจำเลยที่ 2 ไปยึดรถอีกต่อหนึ่ง จำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อยู่ในฐานะนายจ้างและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจำเลยที่ ๑ ตามคำสั่งและทางการที่จ้างโดยประมาทชนรถยนต์โจทก์เสียหาย ต้องเคาะ พ่นสี ยกเครื่อง เปลี่ยนชิ้นส่วน อะไหล่ รวมราคา ๒๔,๖๖๐ บาท ค่าเสื่อมสภาพ ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๓๔,๖๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่เคยเป็นนายจ้างจำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันจำเลยที่ ๒ ลอบขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ โดยพลการ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุเวลาที่ทำละเมิด จำเลยที่ ๒ มิได้ขับรถโดยประมาทดังฟ้อง ค่าเสียหายในการซ่อมรถโจทก์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลอนุญาตโจทก์และจำเลยที่ ๑ แถลงรับกันว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุและได้จ้างนายไพบูลย์ไปยึดรถคันดังกล่าว แล้วนายไพบูลย์ไปจ้างจำเลยที่ ๒ ยึดอีกต่อหนึ่ง เมื่อยึดแล้วจำเลยที่ ๒ ขับมาเพื่อส่งนายไพบูลย์ แต่ระหว่างทางจำเลยที่ ๒ ขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย เรื่องค่าเสียหายให้ศาลวินิจฉัยไปได้เลย และต่างไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ให้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ มิได้อยู่ในฐานะนายจ้างลูกจ้างและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ ๑ จ้างนายไพบูลย์ไปยึดรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นลักษณะของสัญญาจ้างทำของ โดยความสำเร็จของงานเป็นวัตถุประสงค์ของสัญญาจ้าง ผู้ว่าจ้างไม่ต้องไปสั่งการอย่างใดในการทำงานผู้รับจ้างมีสิทธิที่จะทำการใด ๆ ได้เพื่อให้ได้ผลงานโดยมิต้องฟังคำสั่งของผู้ว่าจ้างและเป็นสัญญาระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง มิใช่สัญญาจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง เมื่อจำเลยที่ ๑ จ้างนายไพบูลย์ไปยึกรถยนต์คันเกิดเหตุแล้วนายไพบูลย์ได้จ้างจำเลยที่ ๒ ไปยึดอีกต่อหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ มิได้อยู่ในฐานะนายจ้าง ลูกจ้าง และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปชนรถยนต์ของโจทก์ในระหว่างที่ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปส่งให้นายไพบูลย์ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒
พิพากษายืน.