คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1981/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ควบคุมการไฟฟ้าเทศบาลได้มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นช่างสายให้ช่วยเก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้าด้วย เช่นนี้ถือว่า ในเรื่องการเก็บเงินดังที่ได้รับมอบหมายถือว่าเป็นหน้าที่ ฉะนั้นเมื่อจำเลยยักยอกเอาเงินนั้นไปก็ฟ้องจำเลยได้โดยไม่ต้องมอบอำนาจให้ฟ้อง
เมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนกฎหมายลักษณะอาญาความผิดที่จำเลยถูกฟ้อง(ฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอก) เป็นความผิดอันยอมกันได้และต้องร้องทุกข์ก่อน ตาม มาตรา 356,96 ก็ไม่มีผลย้อนหลังกระทบกระทั่งการฟ้องคดีที่ได้ดำเนินมาโดยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นพนักงานเทศบาลอยู่แผนกการไฟฟ้าของเทศบาลฉะเชิงเทรา นายแก้วจำเลยที่ 1 เป็นพนักงานมิเตอร์มีหน้าที่เขียนใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าเก็บรักษาและจำหน่ายใบรับเงินแก่พนักงานเก็บเงิน ทำทะเบียนบัญชีผู้ใช้ไฟฟ้า และบิลค่ากระแสไฟฟ้านายอยู่ จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าช่างสายมีหน้าที่ติดตั้งและเดินไฟฟ้า และจำเลยทั้งสองได้รับคำสั่งให้มีหน้าที่เป็นพนักงานเก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้าอีกตำแหน่งด้วย จำเลยได้บังอาจทำผิดกฎหมายกล่าวคือ

ก. เมื่อระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม 2496 ถึง 30 เมษายน 2497เวลากลางวัน จำเลยที่ 2 ได้รับบิล 31 ฉบับรวมจำนวนเงิน 1,017.45บาท ดังปรากฏตามบัญชีรายละเอียดท้ายฟ้องจากจำเลยที่ 1 ไปเก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้าจากผู้มีชื่อหลายคนปรากฏตามบัญชีท้ายฟ้อง แล้วในระหว่างวันดังกล่าวเวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยทั้งสองบังอาจสมคบกันยักยอกเงินดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ไม่นำส่ง

ข. ในระหว่างวันดังกล่าวใน (ก) เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยที่ 1บังอาจนำตัวเลขจำนวนเงินซึ่งเก็บมาแล้วทั้ง 31 ฉบับไปลงบัญชีว่าค้างชำระ เพื่อแสดงว่าบิลยังเก็บไม่ได้ อันเป็นเท็จโดยรู้

จึงขอให้ศาลลงโทษ

นายแก้วให้การรับสารภาพ นายอยู่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ลงโทษนายแก้วตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131, 230, 319(3) ประกอบด้วยมาตรา 59 จำคุก1 ปี 6 เดือน นายอยู่ผิดตาม มาตรา 319(3) ให้จำคุก 6 เดือน ให้ใช้ทรัพย์ด้วย

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายไพโรจน์ผู้รับมอบหมายให้ควบคุมกิจการแผนกไฟฟ้าสั่งให้จำเลยที่ 2 กระทำหน้าที่ช่วยเก็บค่ากระแสไฟอีกอย่างหนึ่ง จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ในการนี้ด้วย ส่วนการที่จะเก็บเมื่อไร กล่าวคือ เมื่อว่างจึงจะได้ไปเก็บนั้นไม่ใช่ข้อสำคัญ เมื่อยังไม่เก็บก็ยังไม่ใช่หน้าที่ไปเก็บเมื่อใดก็ได้ชื่อว่าทำหน้าที่เมื่อนั้น ฉะนั้นถ้าจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเอาเงินที่เก็บได้นั้นเสียก็เข้าข่ายในความผิดฐานยักยอกโดยมีหน้าที่ ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 319(3) และ 320 ซึ่งกำหนดว่าเป็นความอาญาแผ่นดิน จึงไม่ต้องมีการร้องทุกข์ในคราวยื่นฟ้อง

แม้ต่อมาเมื่อบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่กฎหมายลักษณะอาญา ความผิดเช่นนี้ถือว่า เป็นความผิดอันยอมกันได้ ต้องร้องทุกข์ก่อนตามมาตรา 356 และ 96 ก็ไม่มีผลย้อนหลังถึงการฟ้องคดีที่ได้ดำเนินมาโดยชอบแล้ว

จึงให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่

Share