แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ใช้หรือวานบุคคลที่ไม่ใช่ลูกจ้างให้ขับรถยนต์ไปในธุระกิจของผู้ใช้เอง โดยผู้ถูกใช้เป็นผู้ขับรถยนต์ได้ และเคยขับให้ผู้ใช้มาก่อนแล้วนั้น หากผู้ถูกใช้ขับรถยนต์ไปชนบุคคลอื่นเป็นการละเมิดขึ้น ผู้ใช้ก็หาจำต้องร่วมรับผิดด้วยไม่ เพราะมิได้ประมาทเลินเล่อในการใช้หรือวาน
การรับใช้หรือวานขับรถยนต์ให้นั้นไม่ใช่เป็นตัวแทน เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ 3 แต่เป็นกิจการในระหว่างผู้ใช้กับผู้รับใช้ ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ๆ เป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟแห่งประเทศไทยมอบรถยนต์ให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองใช้ในกิจการของการรถไฟเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๐๐ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ดังกล่าวไปในกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ ๒ โดยทางการที่จำเลยที่ ๑ รับจ้างเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทเลินเล่อชนโจทก์และเด็กหญิงสุภาพบุตรโจทก์ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดร่วมกันใช่ค่าเสียหายให้โจทก์ ได้ทวงเตือนแล้วจำเลยก็ไม่ยอมใช้ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ ๒ แต่เป็นลูกจ้างของการรถไฟฯ วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ มิได้กระทำในกิจการจ้างของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด
ศาลแพ่งเห็นว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ประมาทจริงตามฟ้อง ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายใช้ค่าเสียหาย ส่วนจำเลยที่ ๒ โจทก์สืบไม่สมฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และได้ทำละเมิดในทางการที่จ้าง คนขับรถยนต์ประจำของจำเลยที่ ๒ คือ นายแถม ซึ่งเป็นลูกจ้างของการรถไฟ ฯ จำเลยที่ ๑ ก็เป็นลูกจ้างการรถไฟ ฯ โดยทำหน้าที่เป็นยาม จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายคำขอเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๒ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นายแถมเป็นคนขับประจำรถยนต์คันเกิดเหตุส่วนจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เป็นยามอยู่โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ และเคยมาอาสาขับรถยนต์คันนี้เมื่อคนขับไม่อยู่บางคราว นายแถมและจำเลยที่ ๑ รับค่าจ้างจากองค์การรถไฟวันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ป่วย ภริยาจำเลยที่ ๒ กับบุตรจะไปซื้อยาให้จำเลยที่ ๒ พอดี จำเลยที่ ๑ มาเยี่ยม ภริยาจำเลยที่ ๒ จึงวานจำเลยที่ ๑ ไปซื้อยาโดยเอารถยนต์คันนี้ออกให้จำเลยที่ ๑ ขับไป มีภริยาจำเลยที่ ๒ กับบุตรนั่งไปด้วย ขากลับจึงเกิดเหตุ ปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดในผลของการละเมิดของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ดังฟ้อง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วยในฐานะเป็นนายจ้าง แม้น่าเชี่อว่าจำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันนี้ให้ภริยาและบุตรของตนไปซื้อยาจริง แต่การใช้หรือวานให้ผู้ใดขับรถยนต์ไปในกิจธุระของตนเพียงเท่านี้หาเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ การละเมิดเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ เอง ซึ่งจำเลยที่ ๒ มิได้ใช้ให้จำเลยที่ ๑ กระทำดังนั้น และจำเลยที่ ๒ ก็มิได้ประมาทเลินเล่อในการใช้จำเลยที่ ๑ ขับรถ เพราะจำเลยที่ ๑ ขับรถได้ และเคยขับให้จำเลยที่ ๒ มาแล้วหลายครั้ง จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดในผลละเมิดที่จำเลยที่ ๑ ทำไป และเรื่องนี้จำเลย ที่ ๑ ก็ไม่ได้เป็นตัวแทน เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ ๓ เป็นกิจการในระหว่างผู้ใช้กับผู้รับใช้ ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่ ๓ เลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน