คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีความผิดฐานกระทำอนาจารซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวอันยอมความได้นั้น ถ้ามารดาของผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการได้ถอนคำร้องทุกข์โดยผู้เสียหายยินยอมไม่คัดค้านสิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) อัยการโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะดำเนินคดีนั้นต่อไปอีก ฉะนั้น การที่อัยการโจทก์แถลงขอผัดเวลายื่นคำร้องขอถอนฟ้องโดยจะไปขออนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดก่อน เพื่อมิให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ย่อมไม่บังเกิดผลแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำอนาจารเด็กหญิงเลี่ยมหรือแต๋วซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278

มารดาเด็กหญิงเลี่ยมผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต

ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ร่วมถอนคำร้องทุกข์ เด็กหญิงเลี่ยมไม่คัดค้าน อัยการโจทก์แถลงขอเวลายื่นคำร้องถอนฟ้อง เพราะการถอนฟ้องจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และคำสั่งของกรมอัยการ เพื่อมิให้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ขอผัดเวลายื่นคำร้องถอนฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลควรให้เวลาโจทก์ไปเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อจะได้ขอถอนฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้เป็นความผิดส่วนตัวอันยอมความได้ เมื่อโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมถอนคำร้องทุกข์โดยผู้เสียหายยินยอมไม่คัดค้าน สิทธินำคดีมาฟ้องก็ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) อัยการโจทก์ก็หมดสิทธิที่จะดำเนินคดีนี้ได้ต่อไปแล้ว หากโจทก์จะถอนฟ้อง ก็ชอบจะร้องขอถอนฟ้องเสียได้ทันที จะผัดไปขออนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเสียก่อนนั้น ไม่บังเกิดผลแต่อย่างใดเพราะถึงผู้ว่าราชการจังหวัดจะอนุมัติให้ถอนฟ้องหรือไม่ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิดำเนินคดีต่อไปแล้ว พิพากษายืน

Share