คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาประกันชีวิต คำขอบังคับคือจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้อง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือการที่จำเลยรับประกันชีวิต ร.ผู้ตายโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และ ร.ตายโดยอุบัติเหตุ โจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อที่กล่าวนี้ชัดแจ้งถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ ส่วนข้อที่ว่าสัญญาเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะยกขึ้นปฏิเสธฟ้องโจทก์ ซึ่งถ้าหากจำเลยยกขึ้นก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกล่าวโดยแจ้งชัดถึงข้อเท็จจริงที่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ หาใช่หน้าที่ของโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องแก้คำให้การของจำเลยไว้ล่วงหน้าไม่ ฉะนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้ตายมิได้ป่วยด้วยโรคหืด หลอดลมหรือคออักเสบมาก่อน หรือหากเคยป่วยโดยโรคดังกล่าวมาก่อนก็มีเหตุหลายประการดังที่โจทก์บรรยายในฟ้องที่ทำให้สัญญาไม่เป็นโมฆียะ จึงเป็นการบรรยายเกินเลยจากที่กฎหมายบังคับ แม้ข้อที่ว่า ร.ป่วยจริงหรือไม่ โจทก์ยกขึ้นอ้างขัดกันก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายไปก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตแล้ว ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศ ซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตตอบ เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลและประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตายดังกล่าวแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตายหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะเอาประกันชีวิตว่า ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคหืด จึงไม่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับประกันชีวิต ร. ผู้ตาย โดยมีข้อตกลงว่า ถ้า ร.ถึงแก่กรรมก่อนครบกำหนดสัญญาประกันชีวิต จำเลยต้องจ่ายเงินให้โจทก์ซึ่งเป็นบุตร ร. เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าการตายเกิดจากอุบัติเหตุจำเลยต้องจ่ายให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมา ร. ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุรถชนกัน โจทก์ทวงถามเพื่อขอรับเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่จ่ายให้โดยบ่ายเบี่ยงว่ากรมธรรมเป็นโมฆียะเพราะ ร. ปกปิดข้อความจริงขณะทำสัญญาประกันชีวิตว่า ตนไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคหืด หลอดลม คอหรือต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ทั้ง ร. เคยเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวด้วยโรคดังกล่าว จึงบอกล้างโมฆียะกรรมให้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ การบอกล้างโมฆียะกรรมดังกล่าวไม่ชอบเพราะ ร.ไม่เคยป่วยเป็นโรคดังกล่าว หรือหากเคยป่วย ร. ก็ไม่ทราบ จึงไม่ได้บอกแพทย์ของจำเลยและแพทย์ของจำเลยไม่มีความรู้ความสามารถทัดเทียมวิญญูชนเช่นแพทย์ทั่วไปจะพึงมี จึงไม่รู้ว่า ร. ป่วยเป็นโรคดังกล่าว หากจะฟังว่าสัญญาไม่สมบูรณ์จำเลยก็ไม่อาจบอกล้างได้เพราะตัวแทนจำเลยในการทำสัญญาประกันชีวิตรู้แล้วว่าผู้ตายป่วยเป็นโรคหืด หลอดลมหรือคออักเสบมาก่อน จำเลยไม่บอกปัดเสียตั้งแต่ขณะทำสัญญาและบอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อพ้นกำหนด ๑ เดือนนับแต่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้ สิทธิบอกล้างจึงระงับไปนอกจากนั้นโรคหืด หลอดลมหรือคออักเสบก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงซึ่งผู้รับประกันภัยรู้แล้วจะจูงใจให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ทำสัญญา สัญญาประกันชีวิตจึงไม่เป็นโมฆียะ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ตามกรมธรรม์เป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ผู้ตายมีหน้าที่แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติและสุขภาพของตนเพื่อประกอบการพิจารณารับประกันชีวิตซึ่งผู้ตายแถลงความเท็จในเรื่องไม่เคยป่วยและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ คือ แพ้อากาศ หอบและหืด คอและต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ข้อความจริงดังกล่าวเป็นข้อสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพของผู้เอาประกันที่จำเลยจะต้องพิจารณาประกอบว่าจะรับประกันชีวิตผู้เอาประกันหรือไม่ หรือรับประกันโดยมีเงื่อนไขหรือเรียกเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น กรมธรรม์ฉบับพิพาทจึงเป็นโมฆียะจำเลยบอกล้างแล้วภายในกำหนด ๑ เดือนนับแต่จำเลยทราบข้อความจริงซึ่งเป็นมูลอันบอกล้างได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงหลายประการซึ่งไม่อาจเป็นไปได้ในขณะเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยฎีกาอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะอ้างข้อเท็จจริงหลายประการที่ไม่อาจเป็นไปได้ในขณะเดียวกันดังนี้ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาประกันชีวิต คำขอบังคับคือจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้อง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือการที่จำเลยรับประกันชีวิต ร. โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และ ร. ตายโดยอุบัติเหตุ โจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อที่กล่าวนี้ชัดแจ้งถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสองฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ ส่วนข้อที่ว่าสัญญาเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เป็นเรื่องที่จำเลยจะยกขึ้นปฏิเสธฟ้องโจทก์ซึ่งหากจำเลยยกขึ้นก็เป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกล่าวโดยแจ้งชัดถึงข้อเท็จจริงที่ทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ หาใช่หน้าที่ของโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องแก้คำให้การของจำเลยไว้ล่วงหน้าไม่ ฉะนั้นการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า ร. มิได้ป่วยเป็นโรคหืด หลอดลมหรือคออักเสบมาก่อน หรือหากเคยป่วยเป็นโรคดังกล่าวมาก่อนก็มีเหตุหลายประการดังที่กล่าวมาในฟ้องที่ทำให้สัญญาไม่เป็นโมฆียะ จึงเป็นการบรรยายเกินเลยจากที่กฎหมายบังคับ แม้ข้อที่ว่า ร.ป่วยจริงหรือไม่ โจทก์ยกขึ้นอ้างขัดกัน ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์กลับกลายเป็นฟ้องเคลือบคลุม
มีข้อวินิจฉัยต่อไปว่าสัญญาประกันชีวิตระหว่างผู้ตายกับจำเลยเป็นโมฆียะหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ตายมิได้เป็นโรคหืด แต่มีอาการหอบหืดซึ่งเป็นอาการของการแพ้อากาศ และอาการดังกล่าวได้หายก่อนที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิต และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการที่ผู้ตายไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลในฐานะคนไข้นอกเป็นครั้งคราวด้วยเรื่องหวัดและแพ้อากาศ ซึ่งมิใช่โรคที่ระบุในแบบสอบถามให้ผู้ขอเอาประกันชีวิตต้องตอบว่าเคยเป็นหรือเคยปรึกษาแพทย์มาบ้างหรือไม่ ทั้งโดยทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่มีความสำคัญเกี่ยวกับการพิจารณารับประกันชีวิต ส่วนที่ผู้ตายมีอาการหอบหืดก็เป็นเพียงอาการของการแพ้อากาศ มิใช่โรคหืดที่ระบุในแบบสอบถามขณะที่ผู้ตายยื่นคำขอเอาประกันชีวิตผู้ตายหายจากอาการหอบหืดหลายเดือนแล้ว เห็นได้ว่าหากจำเลยทราบถึงการที่ผู้ตายเคยไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลมาก่อนและทราบประวัติการเจ็บป่วยของผู้ตาย ก็ไม่เป็นเหตุจูงใจให้จำเลยบอกปัดไม่ยอมรับประกันชีวิตผู้ตาย หรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๕ วรรคหนึ่ง การที่ผู้ตายได้แจ้งในแบบสอบถามขณะขอเอาประกันชีวิตว่าไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือสถานรักษาโรคใดและไม่เคยเป็นหรือเคยปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรคหรืออาการของโรคที่ระบุไว้ในแบบสอบถามซึ่งมีโรคหืดรวมอยู่ด้วย จึงหาทำให้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะไม่
พิพากษายืน

Share