คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2369/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ฟ้องโจทก์จะระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ตึกแถวเลขที่ 60 แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ แต่บรรยายฟ้องว่าตึกแถวเลขที่ 60 ที่พิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3389 แขวงจักรวรรดิ์ เขตสัมพันธ์วงศ์ ซึ่งต่างแขวงกันก็ตาม แต่ตามฟ้องของโจทก์ก็ได้บรรยายว่าตึกแถวเลขที่ 60 ที่พิพาทกันนี้เดิมจำเลยเช่าจาก ฉ. แล้วต่อมาได้ซื้อกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3389 พร้อมกับตึกแถวพิพาทจาก ฉ. ดังนี้ เห็นได้ว่าตึกแถวเลขที่ 60 ที่จำเลยเช่าจาก ฉ. มีอยู่ห้องเดียวคือที่ปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 3389 ที่โจทก์ฟ้องขับไล่นั่นเอง ทั้งจำเลยยังได้อ้างหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3389 และตึกแถวเลขที่ 60 ระหว่างโจทก์กับ ฉ. ประกอบคำให้การของจำเลยอีกด้วย จำเลยจึงเข้าใจฟ้องได้ดีว่าตึกแถวพิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3389 ที่โจทก์ซื้อจาก ฉ. ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ 60 แขวงสัมพันธ์วงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ จึงไม่เป็นการเกินคำขอ
โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งตึกแถวพิพาทจาก ฉ. ชำระราคาบางส่วนด้วยเช็คเงินสด ฉ. จึงทำสัญญาขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ส่วนราคาที่เหลือโจทก์ออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้ ฉ. ไว้ ดังนี้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ซื้อขายกันได้โอนไปยังโจทก์ตั้งแต่วันจดทะเบียนแล้ว การซื้อขายรายนี้หาได้มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ และจำเลยมิได้โต้แย้งการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้น ถือว่าจำเลยยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้เท่านั้น การที่จำเลยยกข้อต่อสู้นี้ขึ้นฎีกาจึงเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรและสัญญาเช่าสิ้นสุดแล้ว จำเลยยังคงอยู่ต่อมาโดยไม่มีสัญญาเช่า โจทก์ได้ซื้อตึกแถวพิพาทพร้อมที่ดินจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร และได้บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย ให้จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาท จำเลยไม่ยอมออกจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกพิพาทไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ซื้อตึกพิพาทและที่ดินเพื่อการค้าขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ จำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาและโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรเป็นโมฆะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรสมบูรณ์ตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะในฟ้องระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่ตึกแถวเลขที่ ๖๐ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ แต่บรรยายฟ้องว่าตึกเลขที่ ๖๐ ที่พิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ แขวงจักรวรรดิ์ (ตรอกอาจม) เขตสัมพันธวงศ์ เป็นของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกดังกล่าว ซึ่งไม่แน่ว่าตึกแถวเลขที่ ๖๐ ที่พิพาทจะได้ปลูกในที่ดินตามโฉนดดังกล่าวนั้นปรากฏจากฟ้องโจทก์ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ ๖๐ (ร้านศรีเภสัชสมบูรณ์) ถนนราชวงศ์ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ และโจทก์ได้บรรยายในฟ้องว่าจำเลยเช่าตึกแถวเลขที่ ๖๐ เพื่อใช้ประกอบการค้าโดยใช้ชื่อสถานที่เช่าว่าศรีเภสัชสมบูรณ์ ซึ่งปลูกในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ แขวงจักรวรรดิ์ (ตรอกอาจม) เขตสัมพันธวงศ์ (สำเพ็ง) จากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร และขอให้บังคับจำเลยกับบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ ๖๐ ดังกล่าว เช่นนี้เห็นว่าแม้ฟ้องของโจทก์จะระบุว่าตึกแถวเลขที่ ๖๐ อันเป็นที่อยู่ของจำเลยและที่ตั้งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ ซึ่งปลูกตึกแถวเลขที่ ๖๐ ต่างแขวงกันก็ตาม แต่ตึกแถวเลขที่ ๖๐ ที่จำเลยเช่าจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพรก็มีอยู่ห้องเดียวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ ที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยกับบริวาร นอกจากนี้จำเลยยังได้อ้างว่าโจทก์ได้ซื้อตึกแถวพิพาทตามหนังสือสัญญาขายที่ดินที่ปลูกตึกแถวพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ซื้อกับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ประกอบคำให้การของจำเลยตามสำเนาเอกสารท้ายคำให้การจำเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยเข้าใจฟ้องโจทก์เป็นอย่างดีถึงตึกแถวพิพาทว่าอยู่ในที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ ที่โจทก์ซื้อจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากตึกแถวเลขที่ ๖๐ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ชำระราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทยังไม่ครบจำนวน กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวจึงยังไม่โอนมาเป็นของโจทก์นั้น เห็นว่าการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามเอกสารหมาย จ.๒ หาได้มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๙ ไม่ แต่เป็นเรื่องผู้ขายยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อไปโดยเด็ดขาดแล้วตั้งแต่วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖, ๔๕๘ ส่วนราคาที่ยังชำระไม่ครบถ้วนนั้นเป็นเรื่องผู้ขายกับผู้ซื้อตกลงผ่อนชำระราคากันเอง หาได้เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่โอนให้แก่กันไปแล้วไม่โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวมทั้งตึกแถวพิพาท โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทได้
ที่จำเลยฎีกาว่า บริษัทโจทก์ซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๓๘๙ รวมทั้งตึกแถวพิพาทเพื่อการค้ากำไรอันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของบริษัท เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ และจำเลยมิได้โต้แย้งการกำหนดประเด็นดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยยินยอมดำเนินกระบวนพิจารณาเท่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้เท่านั้น เป็นการฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share