คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองขอหักกลบลบหนี้โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้เงินฝากไว้กับโจทก์ แต่โจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาโต้แย้งว่าหนี้นั้นมีข้อต่อสู้อยู่หลายประการข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่ตามที่อ้าง จะนำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้ และเมื่อจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ฟ้องร้องโจทก์ในมูลหนี้ที่อ้างเพื่อจะนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 เพราะเห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องดังกล่าว ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ขอให้ถอนการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 นั้น จึงถือว่าเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ และไม่ปรากฏว่ามีการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายจำเลยที่ 2 จะมาโต้เถียงว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดโดยชอบแล้วเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายหาได้ไม่จึงไม่มีเหตุที่จะถอนการบังคับคดีให้แก่จำเลยที่ 2.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้เอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดขาดอยู่เท่าใดให้จำเลยทั้งสองชำระจนครบ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้โจทก์ในเงินฝากและดอกเบี้ยจำนวนหนี้ตามคำบังคับของจำเลย ทั้งสองมียอดน้อยกว่าหนี้เงินที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 2ต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกัน โดยมีมูลหนี้อันเป็นวัตถุอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว ขอให้ศาลทำการหักกลบลบหนี้ โจทก์ยังคงค้างชำระจำเลยที่ 2 อยู่เท่าใด ขอให้บังคับโจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 2 ด้วย และรอการบังคับคดีไว้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า ข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีนี้ ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคแรก เพราะยังมิได้ยื่นฟ้องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นคดีเรื่องอื่นในศาลเดียวกันดังนั้น หากจำเลยที่ 2 จะเป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่จริงตามคำร้องกรณีก็ไม่สามารถจะหักกลบลบหนี้กันได้ ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เมื่อศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังในวันที่19 กันยายน 2532 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 กันยายน2532 อ้างว่าคำพิพากษาที่ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดต่อโจทก์นั้นไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยที่ 2 ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิด ขอให้เพิกถอนการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ของจำเลยทั้งสองรวมกัน ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอหักกลบลบหนี้และงดการบังคับคดีไว้นั้น เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ฝากเงินกระแสรายวันไว้กับโจทก์ แต่โจทก์ยื่นคำแก้ฎีกาโต้แย้งว่าหนี้นั้นมีข้อต่อสู้อยู่หลายประการ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้โจทก์อยู่ตามที่อ้าง จึงไม่ใช่หนี้ที่จะนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองยังไม่ได้ฟ้องร้องโจทก์ในมูลหนี้ที่อ้างเพื่อจะนำมาหักกลบลบหนี้กันกับโจทก์ เช่นนี้จึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะขอให้งดการบังคับคดีไว้ได้แต่งอย่างใดที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เป็นการไม่ชอบ หมายบังคับคดีที่ออกบังคับแก่จำเลยที่ 2จึงเท่ากับออกโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ขอให้ถอนการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 นั้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที20 กันยายน 2532 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 1 ดังนั้นปัญหาตามฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ และไม่ปรากฏว่ามีการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย จำเลยที่ 2 จะมาโต้เถียงว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดโดยชอบแล้วว่าเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายหาได้ไม่ จึงไม่มีเหตุที่จะถอนการบังคับคดีให้แก่จำเลยที่ 2
พิพากษายืน.

Share