คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความประสงค์ของกฎหมายที่ให้ฝ่ายที่อ้างเอกสารส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น ก็เพื่อให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อน จะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้องไม่เสียเปรียบแก่กัน เมื่อจำเลยว่ายังมิได้รับสำเนาเอกสาร โจทก์ขอเลื่อนการสืบพยานไปก่อนเพื่อจัดส่งสำเนาเอกสารให้จำเลย จำเลยก็พอใจไม่คัดค้าน นัดต่อไปจำเลยไม่ทักท้วงอะไรอีก แสดงว่าจำเลยได้รับสำเนาเอกสารประกอบการซักค้านพยานในนัดต่อไปนั้นแล้ว ไม่มีการเสียเปรียบแก่กัน เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้
จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ไปติดต่อกับโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ขอซื้อคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อใช้ในการก่อสร้างซึ่งจำเลยที่ 1 รับเหมาจาก ท. โจทก์นำไปเสนอราคา เงื่อนไขการส่งของ และการชำระเงินเสนอต่อจำเลยที่ 1 ต่อมามีการตกลงซื้อและเสนอใบสั่งซื้อต่อโจทก์ โจทก์คอนกรีตให้จำเลยที่ 1 ณ. สถานที่ก่อสร้าง ใบสั่งซื้อลงชื่อโดยจำเลยที่ 4 แต่ใช้กระดาษแบบจดหมายชื่อของห้างจำเลยที่ 1 เท้าความถึงคำเสนอของโจทก์ต่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 เป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างแทนจำเลยที่ 1 และเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการติดต่อกับ ท.ตามหนังสือแต่งตั้ง การรับเงินค่าก่อสร้าง จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับก็มี จำเลยที่ 4 เป็นผู้รับก็มี แสดงว่าจำเลยที่ 4 ทำในนามของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยทั้งสี่ร่วมกันซื้อทาโก้กรีต (คอนกรีตผสมเสร็จ) จากโจทก์รวมเป็นเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาท จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ออกเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ ถึงกำหนดชำระธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทางถาม จำเลยขอผัดเรื่อยมา ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาท และดอกเบี้ย ๒๕,๕๙๒ บาท ๐๕ สตางค์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ไม่เคยซื้อสินค้าดังฟ้องจากโจทก์และไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ รับเหมาช่วงงานก่อสร้างจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไปทำ จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ซื้อวัสดุก่อสร้างจากโจทก์ และสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์เอง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ไม่เคยซื้อสินค้าที่โจทก์อ้าง ลายมือชื่อในเช็คไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และลงชื่อร่วมกับจำเลยที่ ๓ ในเช็คตามฟ้องจริง แต่ทำในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ และได้นำวัสดุไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ เชิดจำเลยที่ ๔ เป็นตัวแทนพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาท กับดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๔๐๘,๖๗๒ บาท ๐๕ สตางค์ และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๔๐๘,๖๗๒ บาท ๐๕ สตางค์แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาท กับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๔๐๘,๖๗๒ บาท ๐๕ สตางค์ และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน ๓๘๓,๐๘๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าเอกสารหมาย จ.๒ รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้เพราะโจทก์ไม่ส่งสำเนาให้จำเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวัน และจำเลยไม่คัดค้านไว้แล้วนั้น ได้ความว่าวันสืบพยานเริ่มสืบพยานโจทก์ปากแรกได้เล็กน้อย จำเลยคัดค้านว่ายังไม่ได้รับสำเนาเอกสารหมาย จ. ๒ โจทก์แถลงว่าได้มีการเปลี่ยนทนายโจทก์กลับมาจึงไม่ทราบได้แน่ว่าส่งสำเนากันแล้วหรือไม่ ขอเลื่อนคดีไปเพื่อส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยให้ถูกต้อง จำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้มีเอกสารมาก โจทก์ก็เปลี่ยนทนายกันมาจึงมีข้อขัดข้องเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้เลื่อนคดีไป และโจทก์ได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้จำเลยแล้ว ความประสงค์ของกฎหมายที่ให้ฝ่ายที่อ้างเอกสารส่งสำเนาให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันนั้น ก็เพื่อให้ฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารมายันได้มีโอกาสตรวจสอบเอกสารก่อน จะได้ซักค้านพยานได้ถูกต้องไม่เสียเปรียบแก่กัน เมื่อจำเลยว่ายังมิได้รับสำเนาเอกสาร โจทก์ก็ขอเลื่อนการสืบพยานไปก่อนเพื่อจัดส่งสำเนาเอกสารให้จำเลย จำเลยก็พอใจไม่คัดค้าน นัดต่อไปจำเลยไม่ทักท้วงอะไรอีก แสดงว่าจำเลยได้รับสำเนาเอกสารประกอบการซักค้านพยานในนัดต่อไปนั้นแล้ว ไม่มีการเสียเปรียบแก่กันเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวได้
ปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต้องรับผิดชำระหนี้ตามโจทก์ฟ้องหรือไม่นั้นได้ความตามคำนายชูศักดิ์ ต.วิทยา กรรมการผู้จัดการของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๔ ไปติดต่อกับโจทก์ในนามของจำเลยที่ ๑ ขอซื้อคอนกรีตผสมเสร็จเพื่อใช้ในงานก่อสร้างท่อระบายน้ำถนนเอกมัย ซึ่งจำเลยที่ ๑ รับเหมาก่อสร้างจากเทศบาลนครกรุงเทพ โจทก์ทำใบเสนอราคา เงื่อนไขการส่งของและการชำระเงินเสนอต่อจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ.๒ ต่อมามีการตอบตกลงซื้อและเสนอใบสั่งซื้อต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.๓ โจทก์จึงส่งคอนกรีตผสมเสร็จให้จำเลยที่ ๑ ณ สถานที่ก่อสร้าง ถึงแม้ว่าจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ลงชื่อในเอกสารหมาย จ.๓ นั้น ก็พิมพ์โดยกระดาษแบบจดหมายชื่อของห้างจำเลยที่ ๑ เท้าความถึงคำเสนอของโจทก์ต่อจำเลยที่ ๑ นายเสวก กงแก้ว พนักงานของเทศบาลนครกรุงเทพผู้ควบคุมการก่อสร้างที่จำเลยที่ ๑ รับเหมารายนี้ยืนยันว่าจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างแทนจำเลยที่ ๑ และเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ ในการติดต่อกับเทศบาลนครกรุงเทพตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือแต่งตั้งของจำเลยที่ ๑ ดังเอกสารหมาย จ.๑๓ การรับเงินค่าก่อสร้างจากเทศบาลนครกรุงเทพแต่ละงวด จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับเงินก็มี จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับเงินก็มี ดังที่ปรากฎตามเอกสารหลายฉบับที่โจทก์อ้างมาประกอบ แสดงว่าจำเลยที่ ๔ ทำในนามของจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นำสืบว่าจำเลยที่ ๔ รับเหมาช่วงงานก่อสร้างรายนี้ไปทำโดยสิ้นเชิงนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าจำเลยที่ ๔ รับเหมาไปทำโดยจำเลยที่ ๑ ไม่เกี่ยวข้อง เหตุไฉนจำเลยที่ ๑ จะยอมให้จำเลยที่ ๔ ใช้กระดาษแบบจดหมายชื่อห้างจำเลยที่ ๑ ไปสั่งซื้อของต่อบุคคลภายนอกเช่นนี้ และอีกประการหนึ่งจำเลยที่ ๑ มีข้อสัญญาอยู่กับผู้ว่าจ้างด้วยว่าจะไม่เอางานส่วนใดไปให้ผู้อื่นรับจ้างช่วงอีกทอดหนึ่งโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ว่าจ้าง ข้อนำสืบของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ ดังนั้นการสั่งซื้อคอนกรีตผสมเสร็จจากโจทก์ เชื่อว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้สั่งซื้อ จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ และเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share