คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1962/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยซึ่งมีอายุ 14 ปี กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยให้การขอให้ศาลมอบจำเลยให้บิดารับตัวไป แต่หามีบิดามารดาจำเลยมาขอรับจำเลยไป ดังคำให้การของจำเลยไม่ ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจฯ มีกำหนด 3 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้มอบตัวจำเลยให้บิดา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ายังไม่มีเหตุอันสมควรมอบตัวให้บิดา แต่พิพากษาแก้เป็นว่าให้ส่งตัวไปฝึกอบรมมีกำหนด 1 ปี + บิดามารดาของจำเลย มายื่นคำร้องอ้างว่าในระหว่างอุทธรณ์จำเลยประพฤติตัวดี น่าจะกลับตัวไปหากได้อยู่กับบิดามารดา ขอรับตัวจำเลยไปดูแลแทนการส่งตัวไปสถานพินิจฯ การที่มีบิดามารดามาขอรับตัวจำเลยไปเช่นนี้ ถือได้ว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมได้เปลี่ยนแปลงไป มีทางให้ศาลเลือกใช้วิธีการที่จะเป็นผลดีแก่จำเลยมากกว่าวิธีการเดิมที่ได้สั่งไว้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 74 วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว หาจำเป็นต้องมีการดำเนินการตามคำสั่งเดิมเสียก่อน จึงจะมีคำสั่งใหม่ได้ไม่ เมื่อศาลเห็นด้วยกับคำร้อง ก็มีอำนาจพิพากษาแก้เป็นให้มอบจำเลยให้แก่ผู้ร้อง ให้ผู้ร้องระวังจำเลยไม่ให้ก่อเหตุร้ายตลอดเวลาที่ศาลกำหนดได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 212/2511 และ 1509/2511)

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยอายุ ๑๔ ปี เห็นสมควรส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองกลางมีกำหนด ๓ ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้มอบตัวจำเลยให้บิดารับตัวไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ายังไม่มีเหตุอันสมควรมอบตัวให้บิดา พิพากษาแก้เป็นว่าให้ส่งตัวไปฝึกอบรมมีกำหนด ๑ ปี
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นบิดามารดาของจำเลย ได้รับตัวจำเลยไปอุปการะในขณะที่จำเลยได้รับอนุญาตจากศาลให้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยประพฤติตัวดี ทั้งรับปากว่าจะไม่กระทำผิดอีก หากศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ผู้ร้องทั้งสองรับตัวจำเลยไปอบรมให้เป็นพลเมืองดีจะเป็นผลดีแก่จำเลยมากกว่าส่งตัวจำเลยไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ขอให้ศาลสั่งแก้ให้ผู้ร้องรับตัวจำเลยไป
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาแล้วว่าที่ขอให้มอบตัวจำเลยให้บิดารับไปนั้นไม่มีเหตุอันสมควร จึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พฤติการณ์ที่อ้างว่าเปลี่ยนแปลงได้มีขึ้นขณะคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โดยผู้ร้องทั้งสองประกันตัวจำเลย รับตัวจำเลยไปอุปการะ หาใช่มีขึ้นภายในระยะเวลาหนึ่งปีที่จำเลยถูกส่งตัวไปฝึกอบรมไม่ กรณีไม่เข้ามาตรา ๗๔ วรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายอาญา พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔ เด็กอายุกว่า ๗ ปีแต่ไม่เกิน ๑๔ ปี กระทำความผิด กฎหมายไม่เอาโทษและให้อำนาจศาลจัดการแก่เด็กเป็นชั้น ๆ ไปรวม ๕ ชั้น ตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนเด็กแล้วปล่อยตัวไปอันเป็นชั้นเบาที่สุด จนถึงส่งเด็กไปสถานฝึกอบรมอันเป็นชั้นหนักที่สุดที่จะถึงกระทำต่อเมื่อจำเป็นต้องกระทำและไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำได้อีกแล้ว คดีนี้เดิมมีแต่คำให้การจำเลยที่ขอให้ศาลมอบจำเลยให้บิดารับตัวไป แต่หามีบิดามารดาจำเลยมาขอรับจำเลยไปจากศาลดังคำให้การจำเลยไม่ต่อมาผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอรับตัวจำเลยไปดูแลแทนการส่งตัวจำเลยไปสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง โดยอ้างว่าในระหว่างอุทธรณ์จำเลยประพฤติตัวดีน่าจะกลับตัวได้หากได้อยู่กับบิดามารดาต่อไป เช่นนี้ได้ถือว่าพฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมได้เปลี่ยนแปลงไป มีทางให้ศาลได้เลือกใช้วิธีการที่จะเป็นผลดีแก่จำเลยมากกว่าวิธีการเดิมที่สั่งไว้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๔ วรรคท้ายแล้วหาจำต้องมีการคำเป็นตามคำสั่งเดิมเสียก่อนจึงจะมีคำสั่งใหม่ได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการมอบจำเลยให้แก่ผู้ร้องไปโดยวางข้อกำหนดให้ผู้ร้องระวังจำเลยไม่ให้ก่อเหตุร้ายขึ้นอีก จะเป็นผลดีกว่าการส่งตัวจำเลยไปสถานพินิจ และคุ้มครองเด็กกลาง
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้มอบจำเลยให้แก่ผู้ร้อง ให้ผู้ร้องระวังจำเลยไม่ให้ก่อเหตุร้ายเป็นเวลา ๒ ปี ถ้าผิดข้อกำหนดให้ผู้ร้องชำระเงินต่อศาลครั้งละ ๕๐๐บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๔(๒)
(อุดม ทันด่วน พิชัย รชตะนันทน์ ชุ่ม สุนทรชัย)

Share