คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596-597/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้ามรดกมีทายาท 9 คนรวมทั้งโจทก์และ พ.กับ น.จำเลยในคดีนี้ด้วย ทายาทอื่น 3 คนเคยฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นที่ดินมรดกซึ่งโจทก์มีชื่อใน น.ส.3 แทนทายาท จำเลยให้การสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตน คดีนั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ 1 ส่วน การที่โจทก์ถูกฟ้องและให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้น หาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่ไม่ได้ฟ้องด้วยว่าโจทก์จะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้แทนต่อไปไม่ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังบทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นด้วยดังเดิม พ.และ น.จำเลยคดีนี้ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทในส่วนที่ยังมิได้โต้แย้งกัน ทั้งการฟ้องคดีขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกนั้นทายาทอื่นซึ่งมีส่วนอยู่ด้วยไม่จำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนก็ย่อมได้สิทธิ ตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้น ๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างเอาการต่อสู้คดีดังกล่าวว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองเองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับของเวลาสำหรับเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เมื่อคดีก่อนนั้นศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึง พ. และ น.จำเลยคดีนี้ด้วย พ. และ น. ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่ออำเภอขอให้ใส่ชื่อของตนใน น.ส.3 ตามสิทธิของตนได้ เมื่อใส่แล้วก็มีความชอบธรรมที่จะโอนขายส่วนของตนให้ผู้อื่นไปโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้ง พ.เป็นทนายความ แม้จะมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียว แต่ พ.ก็ได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายของจำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นตลอดมาและโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้น ดังนี้ พ.จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายของจำเลยได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความว่า โจทก์มีที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) อยู่แปลงหนึ่ง เนื้อที่ดิน ๖๓ ไร่ ๓ งาน ๖๘ ตารางวา ต่อมาโจทก์ได้โอนให้ผู้มีชื่อไป ๒๑ ไร่ ๑ งาน ๒๐ ตารางวา คงเหลืออยู่ ๔๒ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ บิดาโจทก์ถึงแก่กรรม และปี พ.ศ.๒๕๐๘ มารดาโจทก์ถึงแก่กรรมอีก บิดามารดาโจทก์มีทายาท ๙ คนต่อมาทายาท ๓ คนฟ้องคดีขอแบ่งที่ดินแปลงนี้ ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้แบ่งที่ดินแปลงนี้ออกเป็น ๙ ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคดีคนละส่วน คงเหลือที่ดินเป็นของโจทก์อยู่ ๔๔ ไร่ ๔๘ ตารางวา
โจทก์กล่าวฟ้องในสำนวนแรกว่า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ นางพิมพ์จำเลยได้สมคบกับนายมูลจำเลยนายมณีจำเลย และนายบุญชัดจำเลยซึ่งเป็นปลัดอำเภอและรักษาการแทนนายอำเภอบางขุนเทียน ได้มีเจตนาทุจริตใส่ชื่อนางพิมพ์ จำเลยซึ่งไม่มีสิทธิในที่ดินลงในแบบ น.ส.๓ ในที่ดินแปลงนี้ว่ามีส่วนในที่ดิน ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวา ราคา ๓,๒๐๐ บาท และในวันเดียวกัน นางพิมพ์จำเลยได้โอนที่ดินให้แก่นายมูลจำเลยไปเนื้อที่ ๓ ไร่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวาและโอนให้นายมณีจำเลยไป ๓ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา โดยนายมูลจำเลยและนายมณีจำเลยรู้ดีว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินนี้ และโดยนายบุญชัดจำเลยเป็นเจ้าพนักงานร่วมทุจริตทำหนังสือซื้อขายและจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้ในแบบ น.ส.๓ โดยไม่ปิดประกาศขายให้ถูกต้อง เป็นการสมยอมกันโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และกล่าวฟ้องในสำนวนหลังว่าในวันเดียวกันนี้นางนิ่มจำเลยได้สมคบกับนายโชคชัยจำเลยและนายบุญชัดจำเลย โดยนายบุญชัดจำเลยใส่ชื่อนางนิ่มจำเลยมีส่วนอยู่ในที่ดินแปลงนี้ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวา ราคา ๓,๒๐๐ บาท แล้ววันเดียวกันนี้นางนิ่มจำเลยได้โอนสิทธิครอบครองให้นายโชคชัยจำเลยครอบครองทั้งหมดโดยนายโชคชัยจำเลยรู้ดีว่าที่ดินนี้เป็นของโจทก์และนางนิ่มไม่มีสิทธิครอบครอง และโดยที่นายบุญชัดเป็นเจ้าพนักงานทำการโดยทุจริตทำหนังสือซื้อขายให้โดยรู้ว่าผู้โอนไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ไม่ประกาศขายให้ถูกต้องเป็นการฉ้อโกงโจทก์อีกเช่นกัน โจทก์ทราบเรื่องการกระทำของจำเลยทั้งหมดเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๑๓ ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองสำนวนเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินโจทก์เป็นโมฆะ ห้ามจำเลยทั้งหมดเกี่ยวข้องให้ถอนชื่อจำเลยที่ทำสัญญาโอนสิทธิครอบครองออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) แล้วใส่ชื่อโจทก์ตามเดิม
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งเป็นใจความว่านางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยเป็นบุตรร่วมบิดามารดากับโจทก์ บิดาตายก่อนมารดาตายทีหลังแล้วทายาทต่างครอบครองที่ดินแปลงนี้ร่วมกันมา โจทก์เพียงมีชื่อใน น.ส.๓ แทนทายาท เมื่อนางพลอยมารดาตาย ทายาท ๓ คนเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ ขอแบ่งส่วนที่ดินตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๒๔/๒๕๐๙ ในที่สุดศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์คดีนี้เพียงครอบครองที่ดินแทนทายาท พิพากษาให้แบ่งที่ดินออกเป็น ๙ ส่วน ให้โจทก์คดีนี้แบ่งที่ดินให้ทายาท ๙ คน คนละส่วนไปคำพิพากษาศาลฎีกาอ่านเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ บรรดาทายาทที่ฟ้องโจทก์นี้กับนางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลย กับทายาทอื่นได้ไถ่ถอนที่ดินแปลงนี้ที่จำนองสหกรณ์บางกระดี่ไม่จำกัดสินใช้มาแล้ว จึงขอให้เข้าชื่อร่วมใน น.ส.๓ กับโจทก์โดยยื่นคำร้องต่อนายบุญชัดจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วนางพิมพ์จำเลยได้ขายเฉพาะส่วนเนื้อที่ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวาให้นายมูลจำเลย ๓ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา และขายให้นายมณีจำเลย ๓ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา ส่วนนางนิ่มจำเลยขายส่วนของตนทั้งหมดเนื้อที่ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวาให้นายโชคชัยจำเลยได้จดทะเบียนทำนิติกรรมซื้อขายกันโดยทุจริต เปิดเผยและเสียค่าตอบแทน โดยนายบุญชัดจำเลยซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทำนิติกรรมจดทะเบียนสิทธิตามกฎหมาย เมื่อนายบุญชัดจำเลยสอบสวนเห็นว่านางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยมีสิทธิในที่ดินจริง จึงใส่ชื่อทายาทตามสิทธิและจัดการโอนซื้อขายให้ตามระเบียบ เอกสารที่ทำขึ้นจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ทราบก็มิได้คัดค้าน โจทก์ฟ้องคดีเป็นฟ้องซ้ำสำนวนแรกนางพิมพ์จำเลยนายมูลจำเลยและนายมณีจำเลย ฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินเนื้อที่ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวา ตาม น.ส.๓ ดังกล่าวเป็นที่ดินที่นางพิมพ์จำเลยมีส่วนได้รับเช่นเดียวกับโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๒๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่ง นิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสามชอบด้วยกฎหมายที่ดินที่นายมูลจำเลย นายมณีจำเลยซื้อจากนางพิมพ์จำเลยเป็นของนายมูลจำเลยและนายมณีจำเลย สำนวนหลังนายโชคชัยจำเลยผู้รับซื้อที่ดินจากนางนิ่มจำเลยฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าที่ดินเฉพาะส่วนเนื้อที่ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวาในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามฟ้องนี้เดิมเป็นสิทธิครอบครองของนางนิ่มจำเลยและได้จดทะเบียนโอนขายให้นายโชคชัยจำเลยโดยถูกต้องแล้ว ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยทั้งสองสำนวนใจความว่า ที่พิพาททั้งหมดเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองมาผู้เดียวแต่ครั้งบิดามารดามีชีวิตอยู่ตลอดมา เมื่อมารดาตายทีหลังโจทก์ได้แสดงชัดแจ้งต่อทายาทว่า ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิแต่ผู้เดียวไม่ยอมแบ่งให้ใคร จำเลยที่มีสิทธิไม่ทักท้วง นางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยซึ่งเป็นทายาทมิได้ฟ้องขอแบ่งมรดกภายในอายุความคดีจึงขาดอายุความ การโอนซื้อขายระหว่างจำเลยจึงเป็นโมฆะเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน คำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๒๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งไม่ผูกพันนางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยเพราะเป็นบุคคลภายนอก
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ขอถอนฟ้องนายบุญชัดจำเลยทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต
ในวันนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย แล้ววินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๓๒๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาททั้งหมดแทนทายาทผู้มีสิทธิ คดีฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขาดอายุความ นางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยผู้เป็นทายาทมีสิทธิในที่พิพาทและมีสิทธิจะโอนขายส่วนของตนไปได้ นายมูลจำเลย นายมณีจำเลยและนายโชคชัยจำเลยผู้ซื้อก็ซื้อจากผู้มีสิทธิที่จะขายได้โดยชอบ โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองสำนวน พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน และพิพากษาว่านิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองสำนวนมีผลบังคับระหว่างกันเองและใช้ยันโจทก์ได้ ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องเพื่อโต้แย้งสิทธิของจำเลยอีก
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นับแต่จำเลย (คือโจทก์คดีนี้) ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๒๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งถูกฟ้องคดีก็ได้ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งที่พิพาทและแจ้งทายาททุกคนทราบแล้ว จากนี้ไปถือว่าโจทก์เปลี่ยนลักษณะการครอบครองเป็นการครอบครองเพื่อตนนับแต่เวลาตั้งแต่โจทก์ถูกฟ้องคดีและ ตั้งแต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมแบ่งที่พิพาทเป็นต้นมาถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเวลาเกิน ๑ ปี นางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ นายมูลจำเลย นายมณีจำเลย และนายโชคชัยจำเลยผู้ซื้อที่พิพาททั้งสองสำนวนนั้นจึงไม่ได้รับสิทธิในที่ดินเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน จำเลยทั้งสองสำนวนจึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้ง การซื้อขายระหว่างจำเลยด้วยกันไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองสำนวน ให้ถอนชื่อนางพิมพ์จำเลย นายมูลจำเลย นายมณีจำเลย นางนิ่มจำเลย และนายโชคชัยจำเลยออกจาก น.ส.๓ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่พิพาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองสำนวน
จำเลยที่ ๑, ๒, ๓ ในสำนวนแรก และจำเลยที่ ๒ สำนวนหลังฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า มีเนื้อที่ ๖๓ ไร่ ๓ งานเศษ เป็นทรัพย์มรดกของนายโนตและนางพลอย แขกเต้าผู้วายชนม์และมีทายาททั้งหมด ๙ คน ต่อมานางเปิ๊ดกับทายาทรวม ๓ คน เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๒๔/๒๕๐๙ ของศาลแพ่ง คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อนายโนตบิดาตาย นางพลอยมารดาได้เข้าปกครองที่พิพาทแทนทายาททั้งหลาย โดยเข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ไม่จำกัดสินใช้บางกระดี่แทนนายโนตสามี และฟังว่านางพลอยปกครองที่พิพาทร่วมกับทายาทอื่น ๆ ไม่เชื่อว่านายโนตยกที่พิพาทให้โจทก์คดีนี้ปกครองแต่ผู้เดียว พิพากษาให้แบ่งที่พิพาทออกเป็น ๙ ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ ๑ ส่วน (รวม ๓ คน) ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาเรื่องนี้วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ต่อมาวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๓ นางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยยื่นคำร้องขอใส่ชื่อตนในแบบ น.ส.๓ ที่อำเภอ ทางอำเภอไต่สวนคำร้องแล้วจึงใส่ชื่อบุคคลทั้งสองตามส่วนคนละ ๗ ไร่ ๔๐ ตารางวา ในแบบ น.ส.๓ แล้วนางพิมพ์และนางนิ่มจำเลยโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายมูลจำเลย นายมณีจำเลย และนายโชคชัยจำเลยไปในวันเดียวกัน โดยทำสัญญาซื้อขายชำระราคาที่ดินและจดทะเบียนการโอนกันที่อำเภอ ต่อมาโจทก์มาฟ้องคดีทั้งสองสำนวนนี้เมื่อวันที่ ๒๒ และ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๓ ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินเฉพาะส่วนของนางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลย ส่วนนางพิมพ์จำเลย นายมูลจำเลย นายมณีจำเลย กับนายโชคชัยผู้รับซื้อที่ดินจากนางนิ่มจำเลยฟ้องแย้งว่ามีสิทธิตามส่วนในคำพิพากษาศาลฎีกา ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
พิจารณาแล้ว มีปัญหาว่าการที่โจทก์ผู้ครอบครองทรัพย์มรดกถูกฟ้องขอแบ่งมรดกและโจทก์ให้การต่อสู้ว่าได้ครอบครองปรปักษ์ จะใช้ยันทายาทอื่นที่มิได้ฟ้องคดีด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่โจทก์ถูกฟ้องคดีและให้การสู้คดีโดยอ้างอำนาจครอบครองว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้น หาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่มีส่วนครอบครองที่พิพาทว่าจะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้ แทนทายาทอื่นต่อไปไม่ และไม่อาจถือได้ว่าระหว่างฟ้องคดีฝ่ายที่ครอบครองได้ครอบครองที่พิพาทโดยสงบ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนทายาทอื่นต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นอยู่ดังเดิม จำเลยซึ่งเป็นทายาทอื่นคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทที่ยังมิได้โต้แย้งนั้น ทั้งการฟ้องคดีที่ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกรวมกันนั้นก็เป็นการกระทำเพื่อทายาทอื่น ทายาทอื่นมีส่วนอยู่หาจำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนไม่ และย่อมได้สิทธิตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้น ๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างการสู้คดีว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับเวลาจำกัดที่จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๗๕ วรรค ๒ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้
ส่วนปัญหาที่ว่านางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยซึ่งเป็นทายาทจะมีสิทธิขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดชื่อลงในแบบ น.ส.๓ ตามส่วนที่ได้รับมรดกตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยไว้หรือไม่นั้นข้อนี้เห็นว่าเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ ครอบครองทรัพย์มรดกคือที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึงจำเลยคือนางพิมพ์และนางนิ่มซึ่งเป็นทายาทด้วยดังนี้ นางพิมพ์จำเลยและนางนิ่มจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอจดแจ้งชื่อลงในแบบ น.ส.๓ ตามสิทธิตามส่วนของตนได้ และมีความชอบธรรมที่จะโอนขายทรัพย์มรดกส่วนของตนไปได้ หาต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์แต่อย่างใดไม่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสอง สำนวนและยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
ข้อที่โจทก์แก้ฎีกาโต้แย้งว่า นายพรชัยทนายความไม่มีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายความแทนนางพิมพ์จำเลย เพราะนางพิมพ์จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้งนายพรชัยเป็นทนายความ แต่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อนางพิมพ์ตั้งนายพรชัยเป็นทนายความแล้ว นายพรชัยได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายความของนางพิมพ์จำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นแม้ในชั้นอุทธรณ์นายพรชัยก็ลงชื่อเป็นผู้แก้อุทธรณ์ในฐานะทนายของนางพิมพ์จำเลย นางพิมพ์จำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณาของนายพรชัยในฐานะทนายความของตนตลอดมา โดยโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้นดังนี้นายพรชัย จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายความแทนนางพิมพ์จำเลยได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share