คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษา แต่จำเลยไม่มาศาลเพียงแต่ทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความนำคำร้องมาขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่าจำเลยไปต่างประเทศ เป็นกรณีที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควร และสงสัยได้ว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อฟังคำพิพากษา และให้นัดฟังคำพิพากษาใหม่ และเมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับและไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยไป จึงเป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายและถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม กรณีจึงไม่มีเหตุให้ไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2542 ว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้จำคุก 2 เดือน โดยอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย และออกหมายจับจำเลยเพื่อบังคับตามคำพิพากษา ต่อมาจำเลยถูกจับเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2542 จำเลยยื่นอุทธรณ์ในวันที่ถูกจับว่า จำเลยไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยโดยไม่ชอบ ขอให้ยกเลิกการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังในวันที่ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2542 ว่าจำเลยไม่ทราบ วันนัดฟังคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ทำให้จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่ เพื่อจำเลยจะได้มีโอกาสอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งว่าการอ่านคำพิพากษากระทำโดยชอบแล้ว ไม่มีเหตุต้องไต่สวน ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งที่ไม่รับอุทธรณ์และยกคำร้องขอให้ไต่สวน
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และกรณีมีเหตุสมควรไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่หรือไม่ เห็นว่า ในวันนัดพิจารณาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความมาศาล เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลชั้นต้นให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 15 กรกฎาคม 2542 ซึ่งเสมียนทนายความได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว เสมียนทนายความผู้รับมอบฉันทะให้มาศาลเป็นผู้แทนของทนายความ เสมียนทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นไร ย่อมต้องถือว่าทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นนั้น เช่นเดียวกันทนายความของจำเลยเป็นผู้แทนของจำเลยในการดำเนินคดี ทนายความทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นไรย่อมต้องถือว่าจำเลยทราบกระบวนพิจารณาคดีและคำสั่งศาลเช่นนั้นด้วย ฉะนั้น เมื่อเสมียนทนายความของจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษา กรณีย่อมต้องถือว่าจำเลยทราบวันนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 15 กรกฎาคม 2542 นั้นด้วย เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยไม่มาศาลเพียงแต่ทนายความของจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายความนำคำร้องมาขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาโดยอ้างว่าจำเลยไปต่างประเทศ เช่นนี้เป็นกรณีที่จำเลยไม่มาศาลโดยไม่มีเหตุสมควร สงสัยได้ว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นให้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อฟังคำพิพากษาและให้นัดฟังคำพิพากษาใหม่ในวันที่ 18 สิงหาคม 2542 และเมื่อถึงวันนัดซึ่งพ้นหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับแล้วไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยไป เป็นการอ่านคำพิพากษาโดยชอบด้วยกฎหมายและถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าวแล้ว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 กรณีจึงไม่มีเหตุให้ไต่สวนเพื่อเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังใหม่
พิพากษายืน

Share