แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องหาว่า จำเลยฉ้อโกงและปลอมหนังสือ แต่ตามฟ้องไม่ปรากฎว่าจำเลยเอาข้อความเท็จมาหลอกลวงเมื่อวันเวลาใดเป็นแต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าว แล้วบรรยายต่อไปว่าจำเลยเขียนเช็คฉบับใด ลงวันเดือนปี ให้ผู้มีชื่อ ๆ นำเช็คนั้นมามอบให้โจทก์เมื่อวันใดก็ไม่บอกในฟ้อง และทั้งในฟ้องก็ไม่บรรยายว่าจำเลยทำผิดฐานปลอมหนังสือนั้นทำอย่างไร เป็นแต่โจทก์บอกมาในฟ้องว่า โจทก์นำเช็ค 3 ฉบับไปขอรับเงินที่ธนาคาร ๆ ว่าเงินไม่พอจ่าย จึงคืนเช็คเพียงเท่านี้ เป็นฟ้องที่ยังลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยมีเงินฝากในนามของจำเลยที่ธนาคารแห่งเอเชีย และจำเลยกำลังขอซื้อบ้านมนังคศิลาในราคาสองล้านห้าแสนบาท จำเลยต้องใช้จ่ายเงินมากทุกวัน โจทก์หลงเชื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๐ เวลากลางวัน จำเลยเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินสดให้ขุนประเสริฐศุภมาตรา ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๐ เงิน ๓,๐๐๐ บาท อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เงิน ๑๕๐๐ บาท ต่อมาจำเลยเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินให้ขุนประเสริฐศุภมาตราอีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๐ เงิน ๓๐๐ บาท ขุนประเสริฐศุภมาตรานำเช็ค ๓ ฉบับมามอบให้โจทก์จ่ายเงินไปตามเช็คก่อน โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยมีเงินที่จะเบิกได้ จึงรับเช็คไว้และจ่ายเงินให้ขุนประเสริฐศุภมาตราไป วันที่ ๒๓ ตุลาคม และวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ โจทก์นำเช็คไปเบิกเงินที่ธนาคาร ไม่ได้ทั้ง ๓ ฉบับ ขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกงและปลอมหนังสือ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษาว่า ตามฟ้องโจทก์ไม่ได้เป็นผู้ถูกจำเลยหลอกลวง โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องเอาโทษจำเลยทางอาญา พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์ดังกล่าวนั้น ยังเป็นฟ้องที่จะลงโทษจำเลยไม่ได้
คงพิพากษายืน