คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนดแต่จำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทคืนโจทก์ในราคา 105,000 บาทโดยจำเลยขอค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 22,500 บาท ด้วยแต่ยอมให้หักเงินจำนวน 30,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้ในการตกลงซื้อครั้งก่อน คงเหลือราคาที่จะต้องชำระ 97,500 บาทโจทก์ตกลง และนัดจดทะเบียนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในเดือนมีนาคม 2533 ดังนี้ ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาท เมื่อปรากฏว่าจำเลยยอมให้หักเงินจำนวน 30,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้ในการตกลงซื้อครั้งก่อนออกจากราคาที่พิพาทที่ตกลงกันในครั้งหลังนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แต่กลับบิดพลิ้วเรียกราคาใหม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อปี 2513 โจทก์ได้ขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 387 เนื้อที่ 21 ไร่ 66 ตารางวา อยู่หมู่ที่ 1ตำบลพนมรอก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ แก่จำเลยเป็นเงิน13,000 บาท กำหนดไถ่ภายใน 3 ปี และโจทก์เป็นผู้เช่าที่พิพาทจากจำเลย ต่อมาปี 2531 โจทก์ประสงค์จะซื้อที่พิพาทคืนจากจำเลยจำเลยจะขายคืนให้ในราคา 80,000 บาท โจทก์ตกลงและนำเงินไปให้จำเลยก่อนจำนวน 30,000 บาท ส่วนที่เหลือขอผ่อนเป็นเวลา 3 เดือนครั้นพ้นกำหนดเวลา 3 เดือน มาได้ประมาณ 15 วัน โจทก์ติดต่อกับจำเลยขอชำระเงินที่ค้างอีก 50,000 บาท โดยขอให้จำเลยไปทำการประกาศต่อทางราชการเพื่อทำนิติกรรมขายที่พิพาทคืนให้โจทก์จำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดนัดและตกลงขายคืนให้เป็นเงิน 105,000 บาทโดยขอคิดค่าเช่าที่ค้างชำระอีก 5 ปี เป็นเงิน 22,500 บาทต่อมามีการต่อรองราคากันเพราะโจทก์เคยชำระราคาให้จำเลย22,500 บาท ต่อมามีการต่อรองราคากันเพราะโจทก์เคยชำระราคาให้จำเลยไปแล้ว 30,000 บาท โจทก์จำเลยจึงตกลงจะซื้อขายกันในราคา 97,500 บาท โจทก์ได้รวบรวมเงินจะนำไปชำระแก่จำเลยและขอให้จำเลยทำการประกาศเพื่อทำนิติกรรมซื้อขาย ณ ที่ว่าการอำเภอท่าตะโก แต่จำเลยขอผัดเรื่อยมา ต่อมาจำเลยมีจดหมายถึงโจทก์ว่าจะขายที่พิพาทคืนให้ในราคา 420,000 บาท โจทก์ได้ติดต่อจำเลยขอให้ขายคืนในราคา 97,500 บาท จำเลยไม่ยินยอมขอให้บังคับจำเลยไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์โดยโจทก์ขอชำระราคาเป็นเงิน 97,500 บาท หากจำเลยไม่ไปดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่โจทก์ไม่มีหนังสือสัญญาซื้อขายหรือหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายหรือหนังสือคำมั่นว่าจะขายที่พิพาทแต่อย่างใด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยยอมรับว่าเมื่อปี 2513 โจทก์ได้ขายฝากที่พิพาทไว้แก่จำเลยแล้วโจทก์ขอเช่าทำนาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาเมื่อครบกำหนดระยะเวลาไถ่การขายฝากแล้วโจทก์ไม่ไถ่ ในปี 2531 โจทก์ไม่เคยมาติดต่อซื้อที่พิพาทคืนจากจำเลย จำเลยไม่เคยรับเงินจำนวน30,000 บาท และไม่เคยเขียนบันทึกยอดเงินราคาค่าที่พิพาทให้โจทก์ยึดถือไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 2ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 387หมู่ที่ 1 ตำบลพนมรอก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระราคาที่ดินที่ค้างจำนวน 97,500 บาท แก่จำเลยก่อนหากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทนได้
จำเลยฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยถึงแก่ความตายร้อยตรีสาธร แจ้งสุวรรณ และนางสาวสมจิตร เยี่ยมวารีผู้จัดการมรดกของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นสามีภริยากัน เมื่อปี 2513 โจทก์ที่ 1 ขายฝากที่พิพาทแก่จำเลยเป็นเงิน 13,000 บาท มีกำหนดไถ่คืนภายในเวลา3 ปี แล้วโจทก์ทั้งสองก็เช่าที่พิพาทจากจำเลย แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ไถ่ที่พิพาทคืนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทคืนให้แก่โจทก์ทั้งสองตามบันทึกเอกสารหมาย จ.2 หรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองสมเหตุสมผลมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานจำเลยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทคืนโจทก์ทั้งสองในราคา 105,000 บาท โดยจำเลยขอค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน22,500 บาท ด้วย แต่ยอมให้หักเงินจำนวน 30,000 บาทที่โจทก์ทั้งสองชำระให้ในการตกลงซื้อครั้งก่อน คงเหลือราคาที่จะต้องชำระ 97,500 บาท โจทก์ทั้งสองตกลง และนัดจดทะเบียนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในเดือนมีนาคม 2533 ดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทเมื่อปรากฏว่าจำเลยยอมให้หักเงินจำนวน 30,000 บาท ที่โจทก์ทั้งสองชำระให้ในการตกลงซื้อครั้งก่อนออกจากราคาที่พิพาทที่ตกลงกันในครั้งหลังนี้ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แต่กลับบิดพลิ้วเรียกราคาใหม่ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง
พิพากษายืน

Share