แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ว่า”ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน4,974,987.50บาทแก่เจ้าของ”นั้นหมายความว่าจำเลยจะต้องโอนที่ดินของเจ้ามรดกที่ได้ยักยอกคืนแก่กองมรดกหากการโอนที่ดินไม่อาจกระทำได้จำเลยจึงต้องใช้ราคาหาใช่จำเลยมีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าไม่สามารถโอนที่ดินกลับคืนแก่เจ้าของได้เพราะเจ้าของเดิมได้ตายไปแล้วและจะให้จำเลยโอนที่ดินคืนกองมรดกก็ไม่ได้เพราะกองมรดกมิใช่ตัวบุคคลหรือนิติบุคคลที่จะรับโอนได้จึงเป็นเหตุพ้นวิสัยที่จำเลยจะโอนที่ดินคืนให้ไปตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้นกรณีดังกล่าวหาใช่ข้ออ้างที่จำเลยจะหยิบยกขึ้นปฏิเสธการโอนที่ดินมรดกคืนแก่กองมรดกไม่จำเลยจะต้องโอนที่ดินที่จำเลยยักยอกนั้นคืนกองมรดกโดยโอนให้แก่ผู้จัดการมรดก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลยักยอกที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดก ขอให้ลงโทษและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ประกอบด้วยมาตรา 358 จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาทลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาท แก่เจ้าของศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยนำเงิน 4,974,987.50 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นแทนการโอนที่ดินคืนกองมรดก โจทก์ร่วมแถลงคัดค้านว่า อยู่ในวิสัยที่จำเลยจะโอนที่ดินคืนกองมรดกได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยโอนที่ดินตราจองเลขที่ 88ส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกคืนแก่กองมรดก หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาคบังคับคดี
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมและตามคำพิพากษาศาลฎีกาใช้ถ้อยคำว่า”ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 4,974,987.50 บาทแก่เจ้าของ” นั้น หมายความว่า จำเลยจะต้องโอนที่ดินของเจ้ามรดกที่ได้ยักยอกคืนแก่กองมรดก หากการโอนที่ดินไม่อาจกระทำได้ เช่น ที่ดินได้ถูกโอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือมีเหตุอื่นที่ไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนที่ดินนั้นได้ จำเลยจึงต้องใช้ราคาจำนวน 4,974,987.50 บาท แก่กองมรดกหาใช่จำเลยมีสิทธิที่จะเลือกปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดได้ไม่ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินกลับคืนแก่เจ้าของได้เพราะเจ้าของเดิมได้ตายไปแล้ว และจะให้จำเลยโอนที่ดินคืนกองมรดกก็ไม่ได้ เพราะกองมรดกมิใช่ตัวบุคคลหรือนิติบุคคลอันจะรับโอนได้ จึงเป็นเหตุพ้นวิสัยที่จำเลยจะโอนที่ดินมรดกคืนให้ได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้นเห็นว่า กรณีดังกล่าวหาใช่ข้ออ้างที่จำเลยจะหยิบยกขึ้นปฏิเสธการโอนที่ดินมรดกคืนแก่กองมรดกไม่ จำเลยจะต้องโอนที่ดินที่จำเลยยักยอกนั้นคืนแก่กองมรดก โดยโอนให้แก่ผู้จัดการมรดก
พิพากษายืน