คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1955/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า ล. บิดาได้ขายที่ดินให้แก่ ก. และโจทก์ที่ 1การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หายไป แล้วจำเลยที่ 2 นำหลักฐานใบแจ้งไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงมีเจตนาที่จะกระทำผิด หาใช่เป็นเรื่องที่ขาดเจตนาไม่
การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้อยู่ว่า ล. บิดาได้ขายที่ดินไปแต่กลับไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์หาย และจำเลยที่ 1 นำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไปขอออกใบแทน กับดำเนินการรับโอนมรดกที่ดินมาเป็นของจำเลยที่ 1 ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงได้รับความเสียหายแล้วมิใช่ไม่เป็นความผิดเพราะโจทก์ทั้งสองไม่เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อขอใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วรับโอนมรดกที่ดินมาเป็นของตนเป็นการกระทำกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เวลากลางวันจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำข้อความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอพนัสนิคมว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 32 ฉบับผู้ถือ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสามสูญหายไป ความจริงจำเลยทั้งสามต่างทราบดีอยู่แล้วว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของโจทก์ที่ 1 เพราะนายเรียบหรือเลียบ สัตย์ซื่อ ขายสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 กับสามีเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว โดยส่งมอบการครอบครองที่ดิน และให้โจทก์ที่ 1 กับสามียึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ และเมื่อวันที่ 25พฤษภาคม 2537 เวลากลางวันจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาพนัสนิคม ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกของนายเรียบ ตกทอดแก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์พร้อมยื่นคำขอรับมรดกที่ดินดังกล่าว เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินจดข้อความอันเป็นเท็จลงในใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ว่า จำเลยที่ 1 รับมรดกเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว ความจริงจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับผู้ถืออยู่กับโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 90, 91, 137, 267, 268

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดสองกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 12 เดือนจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนายเลียบหรือเรียบ สัตย์ซื่อ ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 3 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 1 และที่ 2โดยมีหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ต่อมานายเกิด ปั้นศิริ สามีโจทก์ที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจของนายเลียบไปขอออกหนังสือสำคัญเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และโอนขายให้ตนเองแต่ทางอำเภอเพียงดำเนินการให้เฉพาะการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ในนามของนายเลียบ ครั้นวันที่ 17พฤษภาคม 2537 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้นำความไปแจ้งเพื่อเป็นหลักฐานต่อร้อยตำรวจเอกประเสริฐ มาเหม ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพนัสนิคมว่า หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินพิพาทได้หายไปตามบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1 แล้วจำเลยที่ 1 นำใบแจ้งความดังกล่าวไปยื่นประกอบคำขอต่อนายสมศักดิ์ สุ่มเจริญเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอให้ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ฉบับที่อ้างว่าหายไป คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาหรือไม่ โจทก์ทั้งสองมีตัวโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มาเบิกความว่า โจทก์ที่ 1 และนายเกิด ปั้นศิริ สามีโจทก์ที่ 1 ได้ซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากนายเลียบเมื่อปี 2505 โดยมีการส่งมอบการครอบครองและหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินให้นายเกิดยึดถือไว้ ต่อมานายเลียบหลบหนีคดีอาญาจึงเพียงทำหนังสือมอบอำนาจให้นายเกิดไปดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) พร้อมทำนิติกรรมโอนขายให้นายเกิด แต่เนื่องจากลายมือชื่อของนายเลียบไม่เหมือนเดิมที่เคยเซ็นไว้นายอำเภอจึงยอมเปลี่ยนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินจากแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) แต่ไม่ดำเนินการเรื่องการโอนขายที่ดินให้ นายเกิดกับจำเลยที่ 3 ไปรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ด้วยกัน และคงมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ยึดถือไว้ ครั้นปี 2517 โจทก์ที่ 1 ได้แบ่งขายที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 8 ไร่ ต่อมาหลังจากที่นายเกิดและนายเลียบได้ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 1 เคยไปพบโจทก์ที่ 1 เพื่อสอบถามถึงที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์ที่ 1 ก็ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าเป็นการขายขาดมิใช่ขายฝากพร้อมทั้งนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้จำเลยที่ 1 ดูก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขอออกใบแทนหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินรายละเอียดปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.11 นอกจากนี้โจทก์ทั้งสองยังมีนายหยุด ดิเสถียร บุตรนางเย็นซึ่งมีที่ดินติดต่อกับที่ดินพิพาททางทิศตะวันออก นายมนัส ปั้นศิริ บุตรโจทก์ที่ 1 และเป็นน้องชายโจทก์ที่ 2 กับนายสมพงษ์ กลัดสมบัติ มาเบิกความสนับสนุนว่า โจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมากกว่า 30 ปี จนถึงปัจจุบัน ฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีตัวจำเลยที่ 3 มาเบิกความทำนองเดียวกันว่า นายเลียบหลบหนีคดีอาญาตั้งแต่ปี 2505 แต่ก็แอบกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งคราว โดยไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง ระหว่างนั้นจำเลยที่ 3 เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จนกระทั่งทำไม่ไหวจึงให้โจทก์ที่ 1 เข้าทำประโยชน์แทนครั้นปี 2533 นายเลียบป่วยหนักจึงได้เล่าให้ฟังว่าไปกู้เงินนายเกิดไว้ 1,000 บาท และมอบแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ให้นายเกิดยึดถือไว้ จำเลยที่ 3 เพียงทราบว่าเมื่อปี 2505 นายเลียบเคยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แต่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จเพราะต้องหลบหนีคดีอาญา หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 ก็ไม่ทราบเรื่องราวของการขอออกหนังสือสำคัญอีกเลยและก่อนไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ จำเลยทั้งสามก็ช่วยกันค้นหาหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินพิพาทแล้ว แต่หาไม่พบ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่าไม่เคยไปพบโจทก์ที่ 1 ที่บ้านของโจทก์ที่ 1 ส่วนที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่านายเกิดซื้อที่ดินจากนายเลียบนั้น ปรากฏว่า ต่อมานายเกิดได้ไปขอยกเลิกการซื้อขายนั้นแล้ว ตามคำขอยกเลิกคำขอและบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 โดยมีนายอู๋ วิทยประภารัตน์ กำนันตำบลท้องที่ กับนายประมวล วงศ์พรประดิษฐ์ ผู้ใหญ่บ้านท้องที่ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่มาเบิกความยืนยันว่าเห็นฝ่ายจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท เห็นว่า ฝ่ายโจทก์ทั้งสองนอกจากมีภาพถ่ายหมาย จ.7 มาแสดงถึงการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแล้วยังมีนายหยุด ดิเสถียร บุตรนางเย็นซึ่งได้รับมรดกที่ดินของนายเย็นที่อยู่ติดต่อกับที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกและนายสมพงษ์ กลัดสมบัติ ผู้ไปร่วมลงแขกดำนาในที่ดินพิพาทมายืนยันว่า คงเห็นแต่ฝ่ายโจทก์ทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาซึ่งแม้ฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านท้องที่มาเบิกความยืนยันเช่นกันแต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่รับว่านายเกิดได้นำพยานบุคคลซึ่งลงชื่อรับรองลายมือชื่อของนายเลียบในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 มายืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นลายมือชื่อที่นายเลียบลงชื่อไว้จริง ตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย ล.7 และ ล.8 ประกอบกับจำเลยที่ 1 ตอบคำถามค้านทนายโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยที่ 1 เข้าทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเมื่อปี 2537 ส่วนก่อนหน้านั้นใครจะดูแลครอบครองไม่ทราบ จำเลยที่ 1 ได้ย้ายไปอยู่ที่อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ทั้งครอบครัวตั้งแต่เรียนหนังสือจนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 อันแสดงว่าย้ายไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และยังรับอีกว่าปัจจุบันบุตรโจทก์ที่ 1 เป็นผู้เข้าทำประโยชน์ ส่วนจำเลยที่ 3 ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ทั้งสองเช่นกันว่า นายเกิดและโจทก์ที่ 1 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2505 และจำเลยที่ 1 เข้าไปทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเมื่อปี 2537 เพียงปีเดียวแล้ว ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้มาแต่แรกแล้วว่านายเลียบผู้เป็นบิดาได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่นายเกิดและโจทก์ที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หายไป แล้วจำเลยที่ 1นำหลักฐานใบแจ้งความไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอออกใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) แทนฉบับที่อ้างว่าหายไป จึงมีเจตนาที่จะกระทำผิดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษากรณีหาใช่เรื่องที่ขาดเจตนาไม่ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ฎีกาอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่เสียหายเพราะที่ดินพิพาทเพียงมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไม่เกี่ยวกับการได้ที่ดินมาด้วยการครอบครองนั้น เห็นว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จก็คือการนำความเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงาน การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้อยู่ว่านายเลียบบิดาได้ขายที่ดินพิพาทไปแต่กลับไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หายและจำเลยที่ 1 นำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไปขอออกใบแทน จนกระทั่งไปดำเนินการรับโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ย่อมทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินที่แท้จริงต้องได้รับความเสียหายแล้ว หาใช่ไม่เป็นความผิดเพราะโจทก์ทั้งสองไม่เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตามการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานที่ดินเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อขอใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)แล้วรับโอนมรดกที่ดินมาเป็นชื่อของตนการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียว ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 และศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่มากนับเป็นเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 สองครั้งเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทในมาตราเดียวกัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 บทเดียว จำคุกคนละ 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีประโยชน์ต่อการพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share