แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อนำสืบของจำเลยจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่การพิจารณา และถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเหตุอื่นซึ่งเป็นเหตุบรรเทาโทษประการหนึ่ง ที่ศาลจะถือเป็นเหตุลดโทษให้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วถึงแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกข้อที่เป็นคุณแก่จำเลยขึ้นปรับกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้
ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เพียงหนึ่งในสาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็มีอำนาจลดโทษให้ถึงกึ่งหนึ่งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดพับปลายแหลมแทงนายว่อง หรือ สงบสังข์ขาว โดยเจตนาฆ่า นายว่องหรือสงบถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การว่าแทงนายว่องหรือสงบเพื่อป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นป้องกันก่อนที่จำเลยจะแทงผู้ตาย จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม แต่จำเลยได้แทงผู้ตาย เมื่อจำเลยและผู้ตายออกไปข้างนอกที่ระเบียงเรือน เหตุการณ์ที่ถูกข่มเหงได้ขาดตอนไปแล้วจึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุหากฟังว่าไม่เป็นป้องกัน หรือป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ โทษที่ศาลชั้นต้นวางมาก็สูงเกินไป
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันแต่ข้อนำสืบของจำเลยให้ความรู้อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างถือเป็นเหตุบรรเทาโทษพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า ข้อนำสืบของจำเลยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในการพิจารณาคดี ขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยเจตนาจำเลยให้การว่าใช้มีดแทงผู้ตายจริง แต่ทำไปเพื่อป้องกันตัวและนำสืบต่อสู้ว่า ผู้ตายใช้ขวดสุราตรงเข้าจะตีจำเลย จำเลยจึงได้ใช้มีดแทงผู้ตาย ข้อนำสืบของจำเลย ดังนี้ แม้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่การพิจารณาและถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ ดังที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงพฤติเหตุการกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่าผู้ตายเป็นสามีจำเลยมา 2 ปีเศษมีบุตรเกิดร่วมกันหนึ่งคน ผู้ตายคิดจะเลิกร้างกับจำเลย ก่อนที่จำเลยจะแทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยกับผู้ตายได้พูดโต้เถียงกัน จำเลยชวนผู้ตายให้กลับไปอยู่ด้วยกัน ผู้ตายก็ไม่ยอม จำเลยให้ผู้ตายเอาบุตรไว้ ผู้ตายก็ไม่เอา เมื่อโต้เถียงกันนั้น ผู้ตายได้เขกศีรษะและถีบจำเลย จำเลยถึงกับร้องให้ จำเลยจึงได้แทงผู้ตายเมื่อออกมาจากห้องครัวมาอยู่ที่ระเบียงเรือนแล้ว จากพฤติเหตุที่ก่อเหตุให้จำเลยแทงผู้ตายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าจำเลยเป็นหญิงถูกสามีคิดเลิกร้างทอดทิ้งจำเลยและบุตร ทั้งยังถูกผู้ตายซึ่งเป็นสามีข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ในขณะจำเลยกระทำความผิด จำเลยมีอายุ 18 ปี และจำเลยได้แทงทำร้ายผู้ตายด้วยโทสะอันถูกข่มเหงนั้นในระยะเวลาติดต่อกัน ซึ่งจำเลยถูกผู้ตายทำร้ายนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงควรที่จะได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 72 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หากแต่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วว่าเหตุการณ์ที่จำเลยถูกข่มเหงได้ขาดตอนไปแล้ว จึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ และประเด็นข้อนี้ได้ยุติไปแล้วโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งอย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าพฤติการณ์การกระทำของจำเลยดังกล่าวมาก็เข้าลักษณะในเหตุอื่นซึ่งเป็นเหตุบรรเทาโทษประการหนึ่งที่ศาลจะถือเป็นเหตุลดโทษให้จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกข้อที่เป็นคุณแก่จำเลยขึ้นปรับกำหนดโทษจำเลยใหม่ได้ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ในข้อที่ควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แต่ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้เพียงหนึ่งในสามนั้น เมื่อพิจารณาการกระทำของจำเลยดังที่กล่าวมาข้างต้น ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้ถึงกึ่งหนึ่ง
เหตุนี้ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในข้อลดโทษให้จำเลยเป็นว่า ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์