คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 ที่รับสารภาพตามฟ้องโจทก์นั้น ไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลยที่ 1 แม้ในวันเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเดียวกันอีก 2 ฐาน ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 และ 848/2545 ของศาลชั้นต้น และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษในทั้งสองคดีดังกล่าว ซึ่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้สอบคำให้การจำเลยที่ 1 พร้อมกันทั้งสามคดี และจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรทั้งสามคดี ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานในคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 848/2545 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าว โดยนับโทษจำเลยที่ 1 ติดต่อกันทั้งสามคดีก็ตาม แต่ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ทั้งกรณีตามข้อที่อ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่อาจนำมารับฟังเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในคดีนี้ เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานรับของโจรของจำเลยที่ 1 จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของนายร่มหลี ใบเต้ ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้ พร้อมรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนของรถดังกล่าวที่ถูกถอดออกเป็นของกลาง ทั้งนี้ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุลักทรัพย์ จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้น ตามวันเวลาที่เกิดเหตุลักทรัพย์จนถึงวันเวลาที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามช่วยจำหน่าย ช่วยพา เอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ด้วยประการใด ซึ่งรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 และ 848/2545 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 357 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยให้คดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 และ 848/2545 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 โจทก์ไม่นำตัวมาส่งศาลพร้อมกับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงไม่ประทับฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 4 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ส่วนคำขอนับโทษต่อให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรได้หรือไม่ และสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยที่ 1 ใหม่หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 ที่รับสารภาพตามฟ้องโจทก์นั้น ไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยที่ 1 แล้วว่ากระทำความผิดฐานใด จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร แต่เหตุที่ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าวในบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นเพราะความผิดพลาดในการพิมพ์บันทึกข้อมูลนั้น เห็นว่า โจทก์ได้ลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว หากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่บันทึกไว้ไม่ชัดเจนหรือพิมพ์ตกหล่นผิดพลาดประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไปเพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ในวันเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเดียวกันอีก 2 คดี ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 847/2545 และ 848/2545 ของศาลชั้นต้น และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ต่อจากโทษในทั้งสองคดีดังกล่าว ซึ่งผู้พิพากษาศาลชั้นต้นได้สอบคำให้การจำเลยที่ 1 พร้อมกันทั้งสามคดี และจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรทั้งสามคดี ศาลชั้นต้นจึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานในคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ 848/2545 และพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าว โดยนับโทษจำเลยที่ 1 ติดต่อกันทั้งสามคดี และคดีนี้จำเลยที่ 1 คงอุทธรณ์เพียงขอให้ลงโทษสถานเบา ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าตนกระทำความผิดฐานรับของโจรจริงนั้น เห็นว่า ตามบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่ได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ทั้งกรณีตามข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวไม่อาจนำมารับฟังเป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรในคดีนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดฐานรับของโจรของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวข้างต้น จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจทก์ไม่ได้ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลยที่ 1 ใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share