แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินทั้ง 31 แปลง ที่ผู้ร้องนำยึดมีราคาประเมินเพียง 1,274,375 บาท และผู้ร้องอายัดเงินฝากของจำเลยไว้อีก 561,353.06 บาท รวมแล้วไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งให้จำเลยชำระเงินจำนวน 11,371,855 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้องโดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคสอง ชอบที่ศาลจะอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงินจำนวน 4,745,959 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 3,000,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2541 โจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์ของจำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากของจำเลยซึ่งฝากไว้ต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาเพชรบุรี ตามบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เลขที่ 79-11-00561-1 จำนวน 4,199,064.08 บาท
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์จากเงินฝากของจำเลยที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดไต่สวน ทนายความผู้ร้องแถลงรับว่า ผู้ร้องนำยึดที่ดินของจำเลย 31 แปลง ตามคำคัดค้านของโจทก์จริง แต่ที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาและผู้ร้องได้ขออายัดเงิน 561,353.06 บาท ของจำเลย ที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเพชรบุรี ทนายความโจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงเรื่องราคาประเมินที่ดิน 31 แปลง ที่ผู้ร้องนำยึดไว้แล้ว คู่ความทุกฝ่ายแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในเงิน 4,576,292.28 บาท ที่โจทก์อ้างอายัดไว้ในคดีนี้ได้เพียงไม่เกินจำนวนหนี้ที่ผู้ร้องยังได้รับชำระไม่ครบในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1885/2541 ของศาลชั้นต้น
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่ ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคสอง บัญญัติว่า “ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา” เห็นว่า คดีนี้ไม่มีการไต่สวนพยานของคู่ความ โดยในวันนัดไต่สวน ทนายโจทก์ ทนายจำเลย และทนายผู้ร้องแถลงรับข้อเท็จจริงกันดังนี้ ทนายโจทก์และทนายจำเลยแถลงรับว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ทนายผู้ร้องแถลงรับว่าได้ยึดที่ดินของจำเลยจำนวน 31 แปลง ตามคำร้องคัดค้านของทนายโจทก์ไว้จริง และอยู่ในระหว่างการขายทอดตลาด นอกจากนี้ผู้ร้องยังอายัดเงินจำนวน 561,353.06 บาท ของจำเลยที่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาเพชรบุรี ขณะนี้ขอรับเงินจากเจ้าพนักงานบังคับคดี ส่วนที่ดินที่ผู้ร้องยึดไว้ 31 แปลง ราคาประเมินที่ดินทั้ง 31 แปลง ยังไม่พอกับหนี้ที่จำเลยเป็นผู้ร้องอยู่ ทนายโจทก์และทนายจำเลยดูราคาประเมินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินแล้วแถลงรับข้อเท็จจริงเรื่องราคาประเมินที่ดินทั้ง 31 แปลง แล้วทนายโจทก์ ทนายผู้ร้อง และทนายจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานและขอให้ศาลชี้ขาดตามที่คู่ความแต่ละฝ่ายแถลง ดังนี้ เท่ากับคู่ความทุกฝ่ายประสงค์ให้ศาลวินิจฉัยคดีตามข้อเท็จจริงเท่าที่ปรากฏตามคำแถลงรับนี้เท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินทั้ง 31 แปลง ที่ผู้ร้องนำยึดมีราคาประเมินเพียง 1,274,375 บาท และผู้ร้องอายัดเงินฝากของจำเลยไว้อีก 561,353.06 บาท รวมแล้วไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 11,371,855 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ร้องโดยสิ้นเชิง ถือได้ว่าผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแล้ว ชอบที่ศาลจะอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า อนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยทรัพย์ในเงินฝากของจำเลยที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ตามส่วนเฉลี่ยหนี้ของแต่ละฝ่าย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.