คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ม. ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินที่พิพาทได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลว่า จำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลโอนเอาที่ดินโฉนดที่พิพาทไป ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่พิพาท ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ม. ได้ถูกจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลจริง พิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1ออกจากโฉนดที่พิพาท คดีถึงที่สุด ระหว่างที่จำเลยที่1 ยังไม่ได้แก้ชื่อในโฉนดที่พิพาทให้เป็นของ ม. ตามเดิมจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวันที่ ม. ถึงแก่กรรม ดังนี้ โดยผลคำพิพากษาดังกล่าวถือว่าได้มีการบอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว ซึ่งตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ท่านให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก จึงเท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่พิพาทเลย ที่พิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของ ม. อยู่ตามเดิม จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท และจะยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริต มายันโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกที่พิพาทจาก ม. เจ้าของที่พิพาทเดิมหาได้ไม่
คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนจากผู้ไม่มีสิทธิในฐานโจทก์เป็นทายาทรับมรดกคนหนึ่งของ ม. เจ้ามรดกโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางแม้น พูลสวัสดิ์ มารดาของโจทก์และจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1262 ตำบลขันหมากใต้อำเภอเมืองลพบุรี กับที่ดินโฉนดเลขที่ 11106, 11107, 11108, 8578 ตำบลโพธิ์เก้าต้น อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2509 นางแม้น พูลสวัสดิ์ ยกที่ดินโฉนดเลขที่11106 ให้จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ได้ใช้กลอุบายฉ้อฉลหลอกให้นางแม้น พูลสวัสดิ์ ยกที่ดินอื่นอีก 4 โฉนดดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ด้วยและประพฤติเนรคุณ นางแม้น พูลสวัสดิ์ จึงได้ฟ้องเพิกถอนการให้ที่ดินทั้ง 5 โฉนด ศาลพิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่ดินทั้ง 5 โฉนด โดยให้ใส่ชื่อนางแม้น พูลสวัสดิ์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิม ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่28/2513 ของศาลจังหวัดลพบุรี ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2513 นางแม้น พูลสวัสดิ์ ได้ทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดให้แก่โจทก์ ครั้นเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2513 นางแม้น พูลสวัสดิ์ถึงแก่กรรม ในวันเดียวกันนี้เอง จำเลยทั้งสองได้สมคบกันใช้อุบายฉ้อฉลทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1262 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้ซื้อ ทำให้โจทก์ในฐานะผู้รับมรดกนางแม้น พูลสวัสดิ์ เสียหาย ขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1262 ระหว่างจำเลยทั้งสอง

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ตราบใดที่ยังไม่จดทะเบียนถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่พิพาท ตราบนั้นจำเลยที่ 1 คงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แต่ยังไม่จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 2 รับกันว่า คำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2513 ให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่พิพาท และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่พิพาทให้นางแม้น พูลสวัสดิ์

ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1262 ระหว่างจำเลยทั้งสอง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง เมื่อปี พ.ศ. 2509 นางแม้น พูลสวัสดิ์ได้โอนที่ดินรวม 5 โฉนด รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 1262 ให้แก่จำเลยที่ 1 ต่อมานางแม้นฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่าประพฤติเนรคุณ และใช้กลฉ้อฉลโอนที่พิพาทเอาไป ขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่ดินทั้ง 5 โฉนดรวมทั้งที่พิพาทด้วยศาลจังหวัดลพบุรีฟังข้อเท็จจริงว่านางแม้นตั้งใจยกที่ดินโฉนดที่ 11106 ให้จำเลยที่ 1 เพียงแปลงเดียว และได้มอบฉันทะให้จำเลยที่ 1 ไปทำการโอนเอาเองแต่ถูกจำเลยที่ 1 ฉ้อฉล คือเขียนข้อความในใบมอบฉันทะเป็นว่า โอนให้จำเลยที่ 1 ทั้ง 5 โฉนดรวมทั้งโฉนดที่ 1262 ด้วย นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังประพฤติเนรคุณ ไม่เลี้ยงดูนางแม้นซึ่งยากไร้ด้วย พิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่ดินทั้ง 5 โฉนดรวมทั้งที่พิพาท ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28/2513 คดีถึงที่สุด ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้แก้ชื่อในโฉนดที่พิพาทให้เป็นของนางแม้น จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2513 ซึ่งเป็นวันที่นางแม้นถึงแก่กรรม

ปัญหาที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลจังหวัดลพบุรีพิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 1 ออกจากโฉนดที่พิพาทก็โดยเห็นว่า นางแม้นได้ถูกจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลอันเป็นโมฆียะกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ซึ่งเมื่อบอกล้างแล้วท่านให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 ฉะนั้นโดยผลของคำพิพากษาของศาลจังหวัดลพบุรี จึงเท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่พิพาทเลยที่พิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแม้นอยู่ตามเดิมไม่ใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท และจะยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ทั้งไม่ทราบมาก่อนว่าศาลเพิกถอนการให้ก็ตาม มายันโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกที่พิพาทจากนางแม้นเจ้าของที่พิพาทเดิมหาได้ไม่ และคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนจากผู้ไม่มีสิทธิในฐานโจทก์เป็นทายาทรับมรดกคนหนึ่งจากนางแม้นเจ้ามรดก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองได้และคดีไม่จำต้องสืบพยานคู่ความต่อไป

พิพากษายืน

Share