แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่า การที่ผู้ร้องและจำเลยได้ยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ ณ ที่ทำการชุมสายโทรศัพท์ ถือได้ว่าการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของผู้ร้องมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วตั้งแต่วันที่ได้ทำคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องอันถือได้ว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ยินยอมให้มีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวแล้ว เป็นอุทธรณ์ข้อกฎหมาย
จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงโอนขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ต่อกันทั้งได้ทำคำขอโอนและรับโอนการเช่าโทรศัพท์ร่วมกันต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยก็รับทราบและได้แจ้งให้จำเลยและผู้ร้องไปชำระเงินค่าโอนย้ายโทรศัพท์แล้ว อีกทั้งผู้ร้องก็ได้ชำระราคาให้จำเลยและจำเลยได้ส่งมอบเครื่องโทรศัพท์ไว้ในครอบครองของผู้ร้องแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังนั้นการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ขณะทำสัญญาเสร็จการที่จะไปทำการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าโทรศัพท์จากจำเลยมาเป็นชื่อผู้ร้องเป็นแต่เพียงแบบพิธีการเท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า สิทธิการเช่าโทรศัพท์เป็นของผู้ร้อง โดยซื้อมาจากจำเลยในราคา 10,000 บาท ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า การโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ได้กระทำภายหลังการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี สิทธิการเช่าโทรศัพท์จึงยังเป็นของจำเลย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ให้ผู้ร้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 200 บาท
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีของผู้ร้องมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ‘คดีนี้เป็นคดีซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 อุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าการที่ผู้ร้องและจำเลยได้ยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ ณ ที่ทำการชุมสายโทรศัพท์ ถือได้ว่าการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ของผู้ร้องมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วตั้งแต่วันที่ได้ทำการขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ และเป็นการปฏิบัติถูกต้องตามวิธีการโอนสิทธิเรียกร้องอันถือได้ว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ยินยอมให้มีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวแล้ว เป็นอุทธรณ์ข้อกฎหมาย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายมาตราดังกล่าวจึงไม่ชอบ ผู้ร้องยังมีสิทธิฎีกาต่อมาได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวตามฎีกาของผู้ร้องไปเสียเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238และมาตรา 247 ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2527 จำเลยได้ตกลงขายบ้าน ที่ดินและสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข 242186 ให้แก่ผู้ร้องโดยสิทธิการเช่าโทรศัพท์ตกลงราคากัน 10,000 บาท จำเลยได้รับเงินครบถ้วนแล้ว และได้นัดโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์กันในวันหลัง ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2527 จำเลยและผู้ร้องได้ร่วมกันไปยื่นคำร้องขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ ตามเอกสารหมาย ร.1 พร้อมกันนั้นผู้ร้องก็ได้ยื่นคำร้องขอย้ายที่ติดตั้งดทรศัพท์ต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยด้วย วันที่25 มีนาคม 2528 ชุมสายโทรศัพท์นครราชสีมาได้แจ้งให้ผู้ร้องไปชำระเงินค่าโอนย้ายโทรศัพท์ ผู้ร้องได้ชำระเงินและเซ็นสัญญากับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในวันที่ 27 มีนาคม 2528แต่ถูกโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดสิทธิการเช่าโทรศัพท์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2528 และศาลฎีกาเห็นสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปด้วยว่า ผู้ร้องได้รับมอบเครื่องโทรศัพท์ไว้ในความครอบครองพร้อมกับบ้านที่ซื้อจากจำเลย โดยผู้ร้องให้นางสาววรรณี สกลจิตตินภากุล พี่สาวจำเลยเช่าบ้านที่ซื้อต่อมาในราคาเดือนละ 3,000 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย ร.11
ผู้ร้องฎีกาว่า เมื่อจำเลยได้ตกลงโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้ผู้ร้อง ได้มีการชำระราคาและส่งมอบโทรศัพท์ที่เช่าจนจำเลยและผู้ร้องได้ไปยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ ณที่ทำการชุมสายโทรศัพท์นครราชสีมาแล้ว การโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ย่อมมีผลสมบูรณ์นับแต่วันทำคำขอโอนดังกล่าว
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยและผู้ร้องได้ตกลงโอนขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์ต่อกัน ทั้งได้ทำคำขอโอนและรับโอนการเช่าโทรศัพท์ร่วมกันต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยก็รับทราบและได้แจ้งให้จำเลยและผู้ร้องไปชำระเงินค่าโอนย้ายโทรศัพท์แล้ว อีกทั้งผู้ร้องก็ได้ชำระราคาให้จำเลยและจำเลยได้ส่งมอบเครื่องโทรศัพท์ไว้ในความครอบครองของผู้ร้องแล้วตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย คือวันที่ 22 ตุลาคม 2527ดังนั้น การโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่ขณะทำสัญญาเสร็จ การที่จะไปทำการเปลี่ยนชื่อผู้เช่าโทรศัพท์จากจำเลยมาเป็นชื่อผู้ร้องเป็นแต่เพียงแบบพิธีการเท่านั้น สิทธิการเช่าโทรศัพท์จึงไม่ใช่ของจำเลย แต่เป็นของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าว ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น’
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.