คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และมาตราซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงมาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหา ถ้าให้การรับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใด ศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ ก็พิพากษาลงโทษไปได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องด้วยวาจา ศาลบันทึกคำฟ้องและคำรับสารภาพว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์สองล้อด้วยความประมาท โดยแซงรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ด้วยความเร็วสูง ขณะนั้นเด็กชายปรีชา ดอกพุฒ ได้วิ่งข้ามถนน จำเลยเห็นแล้วว่ามีเด็กวิ่งข้ามถนน จำเลยสามารถหยุดหรือชลอความเร็วรถได้แต่จำเลยไม่กระทำ กลับขับต่อไป ชนเด็กชายปรีชาล้มลงได้รับบาดเจ็บรักษา ๓๐ วันหายตามใบชันสูตรท้ายฟ้อง เหตุเกิดที่ตำบลสวนจิตรลดา อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๒๘; ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔; ฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๐๘ มาตรา ๗,๑๓
จำเลยรับสารภาพ
ศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ บทหนัก ลดกึ่งจำคุก ๑ เดือน ปรับ ๔๐๐ บาท โจทก์จำคุกเปลี่ยนเป็นกักขังตามมาตรา ๒๓
จำเลยอุทธรณ์ว่า จะลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่ปรากฏว่าเป็นอันตรายสาหัสตามมาตรา ๒๙๗
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องขาดรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำผิด ฟังไม่ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ฟังได้เพียงว่าเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจเท่านั้น ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๑ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ลดกึ่ง จำคุก ๑๕ วัน ปรับ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกรอ ๓ ปี นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การฟ้องด้วยวาจาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงมาตรา ๒๐ นั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงครบถ้วนพอที่ศาลจะพิจารณาลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่ผู้ว่าคดีขอให้ลงโทษประกอบด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เวลา สถานที่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ มาตรา ๑๙ เมื่อผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาโดยมีข้อเท็จจริงครบถ้วนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะบันทึกคำฟ้องของผู้ว่าคดีให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีนั้นต่อไป เมื่อบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาแล้ว ศาลก็จะบันทึกคำรับสารภาพของผู้ต้องหา แล้วทำคำพิพากษาในฉบับเดียวกัน
คดีนี้ คำฟ้องที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าบาดเจ็บรักษา ๓๐ วันหายนั้นถึงสาหัสตามมาตรา ๒๙๗ ข้อใด ยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยว่าถึงสาหัสหรือไม่แต่ฟ้องด้วยวาจาอ้างใบชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาก็อ้างว่าบาดแผลสาหัสตามรายงานชันสูตรบาดแผล มีแผลที่ศีรษะด้านหลัง แผลยาว ๒x๑ เซ็นติเมตร ลึกจดกะโหลกศีรษะ ไหล่ขวาและหน้าผากถลอกโลหิตซับ กระดูกไหปลาร้าขวาหัก รักษาประมาณ ๓๐ วันหาย เห็นว่า การทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน และกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน ฉะนั้น เมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบกับหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลแล้ว ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ฟ้องด้วยวาจาโดยปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ แล้ว พิพากษาแก้ ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๐ ลดรับสารภาพ จำคุก ๑ เดือน ปรับ ๕๐๐ บาท รอการลงโทษ ๓ ปี

Share