คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติในมาตรา 271 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับให้ฝ่ายชนะคดียื่นคำร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปีหาใช่ให้บังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปีไม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายใน 10 ปีแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิบังคับคดีได้ตลอดไป แม้จะพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาและคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองของผู้ร้องซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิได้ ก็ยังมีผลบังคับต่อไปเช่นเดียวกัน
แม้จำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ก็ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอการชี้ขาดคดีนี้ ซึ่งผู้ร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนอง เพราะหากศาลสั่งในอีกคดีหนึ่งนั้นว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไป การบังคับคดีเอาทรัพย์ที่ยึดไว้ขายทอดตลาดย่อมไม่อาจกระทำได้มีผลให้หนี้จำนองของผู้ร้องซึ่งยังไม่ได้รับชำระคงติดเป็นภาระกับทรัพย์จำนองต่อไปอยู่เอง

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอยึดที่ดินโฉนดที่ 16 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2501 และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2502 ต่อมาวันที่ 26 เมษายน 2503 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ได้จำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้กับผู้ร้องเมื่อขายทอดตลาดที่ดินรายนี้แล้ว ขอให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนในฐานะหนี้บุริมสิทธิ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2503

วันที่ 9 กันยายน 2514 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว แต่การบังคับคดียังไม่เสร็จโดยยังไม่มีการขายทอดตลาดที่ดินที่โจทก์ยึดไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิดำเนินการบังคับคดีต่อไป คำร้องขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิย่อมหมดสภาพไปด้วยขอให้ศาลสั่งว่า คำร้องขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตลอดจนคำสั่งของศาลหมดสภาพไม่มีผลบังคับต่อไป

องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ร้องคัดค้านว่า ในชั้นบังคับคดีจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องได้พิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องที่จะขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้หรือไม่ คดีเพิ่งถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2513 ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำสั่งศาลแล้ว จึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตลอดไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และคำสั่งอนุญาตของศาลชั้นต้นหมดสภาพไปและไม่มีผลบังคับ เพราะโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นไปภายใน 10 ปีหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บังคับให้ฝ่ายชนะคดียื่นคำร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี หาใช่ให้บังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปีไม่ โจทก์จึงมีสิทธิบังคับนี้ตลอดไปแม้จะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาแล้ว และคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้บุริมสิทธิได้ ก็ยังคงมีผลบังคับต่อไปเช่นเดียวกัน

ข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ศาลฎีการอชี้ขาดปัญหาดังกล่าวข้างต้นไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก เห็นว่าหากคำสั่งในอีกคดีหนึ่งนั้นว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปการบังคับคดีเอาทรัพย์ที่ยึดไว้ขายทอดตลาดย่อมไม่อาจกระทำได้มีผลให้หนี้จำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้ร้องซึ่งยังมิได้รับชำระคงติดเป็นภาระกับทรัพย์จำนองต่อไปอยู่เอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอการชี้ขาดปัญหาดังกล่าวไว้แต่อย่างใด

พิพากษายืน

Share