แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติในมาตรา 271 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บังคับให้ฝ่ายชนะคดียื่นคำร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี หาใช่ให้บังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปีไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายใน 10 ปีแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิบังคับคดีได้ตลอดไป แม้จะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์จำนองของผู้ร้องซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิได้ ก็ยังมีผลบังคับต่อไปเช่นเดียวกัน
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงขอยึดที่ดินโฉนดที่ ๑๖ ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒มกราคม ๒๕๐๑ และเจ้าหนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๒ ต่อมาวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๓ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๒ ได้จำนองที่ดินโฉนดดังกล่าวไว้กับผู้ร้องเมื่อขาดทอดตลาดที่ดินรายนี้แล้ว ขอให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ก่อนในฐานะหนี้บุริมสิทธิ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๐๓
วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๔ จำเลยที่ ๒ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่การบังคับคดียังไม่เสร็จโดยยังไม่มีการขาดทอดตลาดที่ดินที่โจทก์ยึดไว้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิดำเนินการบังคับคดีต่อไป คำร้องขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิย่อมหมดสภาพไปด้วย ขอให้ศาลสั่งว่า คำร้องขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ตลอดจนคำสั่งของศาลหมดสภาพไม่มีผลบังคับต่อไป
แม้จำเลยจะได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ก็ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอการชี้ขาดคดีนี้ ซึ่งผู้ร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนอง หากศาลสั่งในอีกคดีหนึ่งนั้นว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไป การบังคับคดีเอาทรัพย์ที่ยึดไว้ขายทอดตลาดย่อมไม่อาจกระทำได้ มีผลให้หนี้จำนองของผู้ร้องซึ่งยังไม่ได้รับชำระคงติดเป็นภาระกับทรัพย์จำนองต่อไปอยู่เอง
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ร้องคัดค้านว่า ในชั้นบังคับคดีจำเลยที่ ๒ กับผู้ร้องได้พิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องที่จะขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ได้หรือไม่คดีเพิ่งถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๓ ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิ มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำสั่งศาลแล้ว จึงมีสิทธิบังคับคดีได้ตลอดไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์จำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และคำสั่งอนุญาตของศาลชั้นต้นหมดสภาพไป และไม่มีผลบังคับ เพราะโจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๐ ปี หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา ๒๗๑ บังคับให้ฝ่ายชนะคดียื่นคำร้องขอบังคับภายใน ๑๐ ปี หาใช่ให้บังคับคดีแพ่งให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๐ ปีไม่ โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีนี้ตลอดไปแม้จะพ้นกำหนด ๑๐ ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้ว และคำร้องของรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้บุริมสิทธิได้ ก็ยังคงมีผลบังคับต่อไปเช่นเดียวกัน
ข้อที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้ศาลฎีการอชี้ขาดปัญหาดังกล่าวข้างต้นไว้ก่อน เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่า โจทก์หมดสิทธิจะบังคับคดีต่อไปเป็นคดีอีกคดีหนึ่งต่างหาก เห็นว่าหากศาลสั่งในอีกคดีหนึ่งนั้นว่า โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไป การบังคับคดีเอาทรัพย์ที่ยึดไว้ขาดทอดตลาดย่อมไม่อาจกระทำได้ มีผลให้หนี้จำนองขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ผู้ร้องซึ่งยังมิได้รับชำระคงติดเป็นภาระกับทรัพย์จำนองต่อไปอยู่เอง จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอการชี้ขาดปัญหาดังกล่าวไว้แต่อย่างใด
พิพากษายืน
(สงวน สิทธิไชย อุดม จาละ ปรีชา สุมาวงศ์)