แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลังจากที่มีข้อพิพาทตามสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้นแล้ว ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้มีการตกลงกันใหม่เพื่อระงับข้อพิพาทด้วยการเสนอคดีให้ศาลไทยเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ดังนี้ข้อตกลงเดิมที่ต้องเสนอให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัยจึงสิ้นผลผูกพันไปแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยก่อน
หนังสือมอบอำนาจที่ทำขึ้นในต่างประเทศซึ่งมีโนตารีปับลิกและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของต่างประเทศรับรองและยังมีเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศนั้นรับรอง จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ได้ทำขึ้นโดยถูกต้อง ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และ ป.วิ.พ. มาตรา 47 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทตามอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนมีคำพิพากษา เป็นการกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับ ป.พ.พ. มาตรา 196 วรรคสอง ที่ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน ปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน โดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนหลังว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ ๑ ในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ ๑ และเรียกจำเลยที่ ๒ ในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ ๒
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกัน โดยโจทก์เป็นผู้ขายและจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ซื้อ โจทก์ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยที่ ๑ หลายครั้ง จำเลยที่ ๑ ชำระราคาเพียงบางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระส่วนที่เหลือแก่โจทก์ ในการทำสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ได้นำหุ้นสามัญของบริษัทสีชังสยามโซลเว้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นหุ้นของจำเลยที่ ๑ มาจำนำเพื่อประกันหนี้และมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๘,๑๔๑,๑๗๘.๒๗ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยที่ ๑ ที่ใด กี่ครั้ง ปริมาณครั้งละเท่าใด เมื่อใดบ้าง รวมทั้งจำเลยที่ ๑ ผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด และโจทก์คิดดอกเบี้ยได้อย่างไร จำเลยทั้งสองไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เคยซื้อและไม่เคยได้รับน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่ได้ค้างชำระค่าน้ำมันและเบี้ยประกันภัยตามคำฟ้อง โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายเพราะได้รับชดใช้จากสถาบันการส่งออกของประเทศสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Export Insurance Corporation) แล้ว ตามสัญญากำหนดให้นำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก่อน โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง และไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลัง จำเลยที่ ๑ เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง โจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงตามสัญญา จำเลยที่ ๑ ทวงถามแล้ว แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยที่ ๑ จึงบอกเลิกสัญญา การกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายเป็นค่าขาดกำไร ขอให้บังคับโจทก์ชำระเงิน ๑,๑๘๒,๖๒๙,๐๖๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑,๐๖๑,๐๕๐,๓๘๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
โจทก์ให้การในสำนวนหลังว่า สัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกำหนดว่าการซื้อขายน้ำมันในช่วงเวลาดังกล่าว โจทก์และจำเลยที่ ๑ จะต้องตกลงราคาน้ำมันกันภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ เสียก่อน แต่ปรากฏว่าไม่อาจตกลงราคากันได้ เงื่อนไขดังกล่าวเป็นเงื่อนไขบังคับก่อน เมื่อยังตกลงกันไม่ได้ สัญญาจึงยังไม่เกิด โจทก์จึงไม่มีหนี้ที่จะต้องส่งมอบน้ำมันในเวลาดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาไม่ชำระเงินค่าน้ำมันให้แก่โจทก์ในสัญญาฉบับเดียวกัน จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับความเสียหายตามคำฟ้อง ของให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๕,๑๗๔,๓๘๘.๔๙ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยแต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน ๒,๗๓๒,๒๐๓.๓๙ ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครเป็นเกณฑ์ ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันมีคำพิพากษา คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นโจทก์สำนวนหลังด้วย
จำเลยทั้งสองในสำนวนแรกและโจทก์ในสำนวนหลังอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๐ โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยที่ ๑ มีระยะเวลาการส่งมอบสินค้าตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๔๐ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๔๑ ราคาน้ำมันในระยะที่ ๑ ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ ได้ระบุไว้ในสัญญาแล้ว ส่วนราคาน้ำมันในระยะที่ ๒ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๔๑ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะต้องมาตกลงกันใหม่ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๐ ตามสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง เอกสารหมาย จ. ๕ น้ำมันเชื้อเพลิงงวดที่ ๒ หรือในระยะที่ ๒ ตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวข้างต้นนั้นโจทก์ยังไม่ได้จัดส่งให้จำเลยที่ ๑ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นประการแรกว่า เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามเอกสารหมาย จ. ๕ มีข้อตกลงให้ข้อพิพาท ข้อขัดแย้ง หรือข้อโต้เถียงที่เกิดขึ้นจากสัญญานี้หรือการปฏิบัติผิดสัญญานี้จะต้องชี้ขาดตัดสินโดยอนุญาโตตุลาการ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์ตามคำร้องของจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า หลังจากที่มีข้อพิพาทตามสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิง เอกสารหมาย จ. ๕ เกิดขึ้นแล้ว ทั้งโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้มีการตกลงกันใหม่เพื่อจะระงับข้อพิพาทด้วยการเสนอคดีให้ศาลไทยเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด ดังนี้ ข้อตกลงเดิมที่ต้องเสนอให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัยจึงสิ้นผลผูกพันไปแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทตามสัญญาดังกล่าวให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยก่อน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในประการที่ ๓ มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงเรื่องการมอบอำนาจเกิดขึ้นในต่างประเทศ พยานโจทก์ที่มาเบิกความแม้กระทั่งนางสาววารี ชินสิริกุล ผู้รับมอบอำนาจก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในขณะมีการทำหนังสือมอบอำนาจให้ตนเองเป็นผู้ฟ้องคดีนี้ เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ. ๑ ได้ทำขึ้นในเมืองต่างประเทศซึ่งมีโนตารีปับลิกและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีรับรอง นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศสาธารณรัฐเกาหลีรับรองมาด้วย จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจที่ได้ทำขึ้นโดยถูกต้อง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔๕ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ วรรคสาม ทั้งจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสาววารี ชินสิริกุล เป็นผู้ฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทตามอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว (หมายถึงในวันที่มีคำพิพากษา) ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราการแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนมีคำพิพากษานั้น เห็นว่า เป็นการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๖ วรรคสอง ที่ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงินปัญหา ข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๕,๑๗๔,๓๘๘.๔๙ ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๘ ต่อปี แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน ๒,๗๓๒,๒๐๓.๓๙ ดอลลาร์สหรัฐ หากจำเลยทั้งสองจะชำระเป็นเงินบาท ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราขายเงินดอลลาร์สหรัฐถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครในเวลาที่ใช้เงิน แต่ต้องไม่เกินจำนวนเงินบาทที่คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.