คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2919/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเกษตรกรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว 20 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา โดยทำนาทั้งแปลง ถือได้ว่าโจทก์มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้ว โจทก์จึงขาดคุณสมบัติที่จะได้รับโอนที่ดินพิพาทแม้ทางมรดกตกทอด จำเลยซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชอบที่จะไม่ออกคำสั่งให้โจทก์รับมรดกตกทอดสิทธิการเช่าในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าขัดกับกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในนามผู้ว่าราชการจังหวัด มีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีอำนาจลงนามอนุญาตในนามของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ในการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินร่วมกับจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โจทก์เป็นบุตรของนายพุฒกับนางข่าย ราชอินทร์ เมื่อปี 2513นางข่ายถึงแก่ความตาย ต่อมาปี 2535 นายพุฒได้ทำการสมรสกับจำเลยที่ 3 แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540 นายพุฒได้ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 4กรกฎาคม 2537 นายพุฒได้รับสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01 ก) สารบัญทะเบียนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเลขที่ 6226 อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 49 ตารางวา เมื่อนายพุฒถึงแก่ความตาย ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม คือโจทก์และจำเลยที่ 3 คนละครึ่งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2518 มาตรา 39 โจทก์ติดต่อขอรับมรดกในที่ดินดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2ปฏิเสธ อ้างว่าคำสั่งของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินให้คณะปฏิรูปที่ดินจังหวัดอนุญาตให้สิทธิการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตกแก่จำเลยที่ 3 เท่านั้น คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ผิดกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 3 ปฏิเสธที่จะแบ่งที่ดินให้โจทก์ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01 ก) สารบัญทะเบียนที่ดินเลขที่ 6226 เล่ม 63 หน้า 26 อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ตำแหน่งที่ดินแปลงที่ 11 ระวาง ส.ป.ก. ที่ /กลุ่มที่ 2979 จำนวนเนื้อที่คนละ 6 ไร่ 3 งาน 24.5 ตารางวาตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 โดยให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะนายทะเบียนผู้มีอำนาจออกหนังสืออนุญาตการให้สิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวจัดแบ่งที่ดินและออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตามหนังสือดังกล่าวให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 3 ได้จำนวนที่ดินคนละ6 ไร่ 3 งาน 24.5 ตารางวา

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำนวน 22 ไร่ และเพียงพอแก่การครองชีพแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2จึงไม่อาจออกคำสั่งให้โจทก์รับมรดกตกทอดสิทธิการเช่าในที่ดินพิพาทได้ เนื่องจากขัดกับกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่า โจทก์มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือไม่ในข้อนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้คดีว่า นอกจากนี้ได้ความว่าเมื่อปี 2526 (ที่ถูก2536) โจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้วจำนวน 22 ไร่ (ที่ถูก 20 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา) และเพียงพอแก่การครองชีพแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่อาจออกคำสั่งให้โจทก์รับมรดกตกทอดสิทธิการเช่าในที่ดินพิพาทได้เนื่องจากเป็นการขัดกับกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 นั้น เห็นว่าในทางพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า โจทก์มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่อย่างใด ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 ยอมรับว่าโจทก์ได้รับที่ดินจำนวน 21 ไร่ โดยมีหลักฐานเป็น ส.ป.ก. 4-01 ก ด้วยส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบได้ความว่า โจทก์เป็นบุตรของนายพุฒ โจทก์ได้ยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินจำนวนเนื้อที่ 20 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา ต่อมาในวันที่ 4กรกฎาคม 2537 คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุบลราชธานีได้ออกหนังสืออนุญาตให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา ตามสารบัญทะเบียนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเลขที่ 6231 เล่ม 63 หน้า 31 อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ตามเอกสารหมาย ล.4 และ ล.5 ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 4 บัญญัติความหมายของคำว่า “การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม” หมายความว่า การปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการยึดครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรมรวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น โดยรัฐนำที่ดินของรัฐหรือที่ดินที่รัฐจัดซื้อหรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นด้วยตนเองหรือมีที่ดินเกินสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพและสถาบันเกษตรกรได้เช่าซื้อ เช่าหรือเข้าทำประโยชน์โดยรัฐให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม การปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น และคำว่า “เกษตรกร” หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกรบรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วยและตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโอนและการตกทอดทางมรดก สิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อที่ดินในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2535 ข้อ 6 ระบุว่า ผู้รับโอนและผู้รับมรดกตามระเบียบนี้จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (1) ผู้นั้นรวมทั้งบุคคลในครอบครัวเดียวกันไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองเพียงพอแก่การครองชีพอยู่ก่อนแล้ว…ดังนี้ แสดงว่าเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินและเกษตรกรผู้นั้นจะต้องไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพหรือต้องเช่าที่ดินของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรมเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ซึ่งเป็นเกษตรกรได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ ซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว จำนวน 20 ไร่ 2 งาน 84 ตารางวา โดยทำนาทั้งแปลง จึงถือได้ว่าโจทก์มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองและมีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพแล้ว โจทก์จึงขาดคุณสมบัติที่จะได้รับโอนที่ดินพิพาทแม้ทางมรดกตกทอดของนายพุฒดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ออกคำสั่งให้โจทก์รับมรดกตกทอดสิทธิการเช่าในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าขัดกับกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 นั้นชอบแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิจะได้รับมรดกที่ดินพิพาทหรือไม่ เพราะถึงแม้ได้รับมาก็ไม่มีสิทธิรับโอนอยู่แล้วที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share