แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีแทนโดยแนบภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจมาท้ายฟ้อง แต่กลับนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ เป็นภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอื่น ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้แนบไปท้ายฟ้องคดีอื่นสลับกัน โดยโจทก์นำสืบต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับประกอบคำเบิกความของ อ. ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีนี้จริง เช่นนี้ ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องและต้นฉบับย่อมมิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ก็มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ทั้งคำเบิกความของ อ. ก็เป็นพยานบุคคลจะรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามมาตรา 94(ก) ประกอบมาตรา 60 วรรคสอง จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจ ลือขจร ดำเนินคดีแก่จำเลยตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง จำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 32,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินที่กู้ไปคืน ครั้นครบกำหนดเวลาแล้วจำเลยไม่นำต้นเงินและดอกเบี้ยมาชำระให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีก่อนถึงวันที่ตามหนังสือมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในข้อที่ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจ ลือขจร ฟ้องคดีนี้หรือไม่เสียก่อนเห็นว่า คดีได้ความตามคำฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2531 ท้ายฟ้อง นายอำนาจยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2531 ต่อมาก่อนวันชี้สองสถานโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นว่า เสมียนทนายพิมพ์ พ.ศ. เกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็น พ.ศ. 2531 ผิดไปขอแก้เป็น พ.ศ. 2530ที่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จึงเป็นกรณีที่โจทก์ยืนยันตามคำฟ้องว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้อง เพียงแต่ระบุ พ.ศ.ในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวผิดไป ประเด็นแห่งคดีจึงเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจฉบับดังกล่าวเท่านั้น แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบนายอำนาจเป็นพยานเพียงปากเดียวว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งหาใช่ต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องไม่ โดยอ้างว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้พยานฟ้องจำเลยจำนวน 2 คดี และทำหนังสือมอบอำนาจจำนวน 2 ฉบับ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.6 และหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งเป็นต้นฉบับของภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้อง พยานได้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 คดีในวันเดียวกันคือคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 55/2531 หมายเลขแดงที่ 62/2531ของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ได้ส่งภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวไว้ท้ายฟ้องในสำนวนทั้ง 2 คดีสลับกันโดยส่งภาพถ่ายของเอกสารหมาย จ.7 ไว้ในสำนวนคดีนี้ และส่งภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.6 ไว้ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 62/2531 จึงเป็นการนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนท้ายฟ้องหรือเอกสารหมาย จ.7 ไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ได้ให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ สำหรับเอกสารหมาย จ.6 ที่โจทก์นำสืบว่าเป็นต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้นั้น มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 จำเลยได้แถลงคัดค้านไว้แล้ว ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่สำเนาของเอกสารหมาย จ.6 แต่เป็นสำเนาของเอกสารหมาย จ.7 ดังนั้นจึงรับฟังเอกสารหมาย จ.6 เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.7 นั้น แม้จะมีการส่งสำเนาตามเอกสารท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็นำสืบว่ามิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ทั้งคำเบิกความของนายอำนาจก็เป็นพยานบุคคลจะนำมาสืบให้ศาลรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ก) ประกอบมาตรา 60 วรรคสอง ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายอำนาจฟ้องคดีนี้ นายอำนาจจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในข้ออื่นต่อไป”
พิพากษายืน