คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนเริ่มสืบพยาน ศาลชั้นต้นได้ให้จำเลยตรวจดูสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยแถลงว่าจำเลยเป็นผู้เขียนสัญญาและลงชื่อเป็นผู้กู้จริงแต่หนี้ตามสัญญาเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้จำนวนหนึ่งที่จำเลยกู้เงินโจทก์ และโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือน จำเลยไม่มีเงินชำระจึงทำสัญญากู้ให้ไว้ การที่จำเลยนำสืบถึงมูลหนี้ว่าเป็นมาอย่างไรนั้น ก็เพื่อแสดงว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินและรับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า จำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่นั่นเอง จึงไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้น 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “มีปัญหาข้อแรกจำเลยฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่จำเลยนำสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมายจ.1 เกิดจากการเอาดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายของเงินกู้รายอื่นมาลงเป็นต้นเงินกู้รายนี้เป็นการนำสืบนอกประเด็นรับฟังไม่ได้นั้นยังไม่ชอบ เพราะเป็นการนำสืบในประเด็นข้อ 1 ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วปรากฏว่าในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) จำเลยกู้เงินและทำสัญญากู้ท้ายฟ้องโจทก์หรือไม่ (2) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และก่อนเริ่มสืบพยาน ศาลชั้นต้นได้ให้จำเลยตรวจดูสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยแถลงว่า จำเลยเป็นผู้เขียนสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 แล้ว จำเลยแถลงว่า จำเลยเป็นผู้เขียนสัญญาและลงชื่อเป็นผู้กู้จริง แต่หนี้ตามสัญญาเป็นค่าดอกเบี้ยเงินกู้จำนวนหนึ่งที่จำเลยกู้เงินโจทก์จริง และโจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละสามต่อเดือน จำเลยไม่มีเงินชำระจึงทำสัญญาหมาย จ.1 ไว้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยนำสืบถึงมูลหนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 ว่าเป็นมาอย่างไรนั้น ก็เพื่อแสดงว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินและรับเงินตามเอกสารหมาย จ.1 ไปจากโจทก์ จึงรวมอยู่ในประเด็นข้อ 1 ที่ว่า “จำเลยกู้เงินโจทก์หรือไม่” นั่นเองซึ่งจำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้ และศาลชั้นต้นก็ยอมให้จำเลยสืบได้ทั้งได้วินิจฉัยให้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นการนำสืบนอกประเด็นไม่วินิจฉัยให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาดังกล่าวไปทีเดียว ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่อีก”

พิพากษายืน

Share