แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อซื้อที่ดินมาค้าหากำไรโดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อซื้อที่ดินมาแล้วหุ้นส่วนทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นร่วมกัน และหุ้นส่วนทุกฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่มีการเรียก เงินลงทุนคืนระหว่างดำเนินการ ต่อมาเมื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากผู้ขายแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ไม่ใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว แต่กลับใส่ชื่อจำเลยที่ 7 ถึงที่ 10 แทนที่โจทก์ แล้วนำที่ดินแปลงดังกล่าวจำนอง โดยอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระเงินลงหุ้นให้ครบและไม่ยอมจำนองที่ดินพิพาท เท่ากับเป็นการปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนอีกต่อไป โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเงินลงหุ้นหรือเงินลงทุนคืนได้
กิจการของหุ้นส่วนในคดีนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนลงทุนเพื่อซื้อที่ดินแปลงหนึ่งมาค้าหากำไร ไม่ปรากฎว่ามีทรัพย์สินอื่นนอกจากเงินลงหุ้นและไม่ปรากฏหนี้สินแต่อย่างใด การที่จะให้ไปดำเนินการฟ้องขอให้ เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนเสียก่อน ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกฝ่าย ศาลย่อมพิพากษาให้คืนเงินลงหุ้นไปได้เลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๒,๙๔๖,๐๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๑๐ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ เพราะจำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ มิได้เป็น คู่สัญญากับโจทก์ มิได้รับเงินจากโจทก์ และมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ เพราะสัญญาเข้าหุ้นส่วนมีข้อตกลงว่า หุ้นส่วนทุกฝ่ายตกลงจะไม่มีการเรียกเงินคืนระหว่างดำเนินการไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ชำระเงินจำนวน ๒,๓๕๘,๐๓๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีในต้นเงิน ๑,๗๗๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ร่วมกันใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐,๐๐๐ บาท สำหรับจำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนนี้ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเบื้องต้นว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ได้ทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อซื้อที่ดินมาค้าหากำไร โดยมีข้อสัญญาว่า เมื่อซื้อที่ดินมาแล้วหุ้นส่วนทุกคนเป็นเจ้าของกรรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นร่วมกันตามสัดส่วนในการลงทุน และหุ้นส่วนทุกฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่มีการเรียกเงินลงทุนคืนระหว่างดำเนินการไม่ว่า กรณีใด ๆ ทั้งสิ้น โจทก์จ่ายเงินลงหุ้นบางส่วนแล้ว ต่อมาปรากฏว่าเมื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากผู้ขายแล้ว ผู้มีชื่อเป็นผู้ซื้อและเป็นเจ้าของรวมในที่ดินดังกล่าวคือจำเลยทั้งสิบ และจำเลยทั้งสิบได้จำนองที่ดินนั้นต่อธนาคารในวันโอนกรรมสิทธิ์
คดีมีประเด็นที่สมควรวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาเข้าหุ้นส่วนระบุว่า หุ้นส่วนทุกฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่มีการเรียกเงินลงทุนคืนระหว่างดำเนินการไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีก่อน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะมีข้อสัญญาเข้าหุ้นส่วนตามที่จำเลยอ้าง แต่ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ผิดสัญญารับเงินลงหุ้นจำนวนมากจากโจทก์แล้วไม่ยอมใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ตกลงเข้าหุ้นซื้อมาเพื่อค้าหากำไร กลับไปใส่ชื่อจำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ เป็นเจ้าของรวมกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ อันเป็นการผิดสัญญาในสาระสำคัญ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสิบก็ยังเพิกเฉย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเงินลงหุ้นหรือเงินลงทุนคืนได้ เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินลงหุ้นคืนโดยไม่ได้ขอ แบ่งผลกำไร จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ก็ให้การว่าไม่ได้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินที่ซื้อเพราะโจทก์ไม่ชำระเงินลงหุ้นให้ครบถ้วน และไม่ยอมกู้เงินจากธนาคารตามมติของที่ประชุมหุ้นส่วน ที่ประชุมหุ้นส่วนจึงลงมติให้จำเลยที่ ๑ รับช่วงในหุ้นของโจทก์และให้จำเลยที่ ๗ ถึงที่ ๑๐ มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อันเป็นการยอมรับว่าไม่ให้โจทก์เป็นหุ้นส่วนอีกต่อไป ศาลชั้นต้นรับพิจารณาสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนสิ้นกระแสความแล้ว กิจการของ ห้างหุ้นส่วนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนลงทุนเพื่อซื้อที่ดินแปลงหนึ่งมาค้าหากำไร ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สินอื่นนอกจากเงินลงหุ้นและไม่ปรากฏหนี้สินแต่อย่างใด การที่จะให้ไปดำเนินการฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและ ชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนเสียก่อนย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกฝ่าย ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้คืนเงินลงหุ้นตามที่พิจารณาได้ความไปได้เลย ฎีกาจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ร่วมกันใช้เงินจำนวน ๑,๗๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ใช้แทนโจทก์ตามจำนวน ทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.