คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องทำตามสัญญาแต่จำเลยไม่ทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำแทน แต่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จอยู่ 28 รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จ จำเลยมาก่อสร้างให้เพียง 7 รายการยังเหลืออยู่อีก 21 รายการ ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า งานที่จำเลยยังทำไม่เสร็จ 28 รายการนั้นคือรายการใดบ้างมาทำเสร็จไปอีก 7 รายการคือรายการใดบ้าง และยังค้างอยู่ 21 รายการ อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำนั้นคือรายการใดแม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ว่าโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาก็ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้นคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วัน ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้วแม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้โจทก์จำเลยเป็นบุคคลเดียว โจทก์ฟ้องโดยอ้างอาศัยสัญญาฉบับเดียวกัน

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจ้างจำเลยทำการก่อสร้างตึกอาคารสามชั้นครึ่ง โดยจำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างสัญญาว่าจะวัสดุสัมภาระที่มีคุณภาพดีและช่างฝีมือดีเพื่อประกอบการก่อสร้างตามรายละเอียดรูปแบบรายการแนบท้ายสัญญาทุกประการต่อมาจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างของโจทก์ไป โดยที่งานก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้นตามสัญญาโจทก์ได้ให้นายประเสริฐช่างผู้ออกแบบแปลนมาทำการตรวจสอบส่วนบกพร่องที่จำเลยยังสร้างไม่เสร็จตามแบบแปลนก่อสร้างตามสัญญาจ้างรวม 28 รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จสิ้นไป แต่จำเลยได้มาก่อสร้างเสร็จไปเพียงบางรายการโจทก์และนายประเสริญได้ทำการบันทึกตรวจสอบดู เห็นว่าจำเลยได้ให้ลูกจ้างมาจัดทำเสร็จไปเพียง 7 รายการ ยังคงเหลืออยู่อีกรวม 21 รายการ (ซึ่งโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป) เมื่อจำเลยไม่ยอมมาทำการก่อสร้างต่อไปให้เสร็จสิ้นตามสัญญา โจทก์จึงให้ช่างทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และให้ช่างอื่นมาทำการก่อสร้างแทนต่อไปจนเสร็จการแต่ก่อนที่โจทก์จะจ้างช่างอื่นมาทำการก่อสร้าง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบหลายครั้นหลายหน จำเลยไม่ยอมมาทำจึงได้จ้างช่างอื่นดังกล่าวแล้ว สิ้นค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน 38,500 บาทโจทก์ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานส่วนหนึ่ง กับโจทก์ได้ให้ช่างอื่นมาทำมุ้งลวดโดยรวมค่าสิ่งของวัสดุ ค่าฝีมือ ค่าแรงงาน ทั้งหมดเป็นเงิน 8,000 บาท รายการจ้างดังกล่าวนี้ โจทก์มีหลักฐานในการว่าจ้างซึ่งจะนำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป การใช้เงินเพื่อทำการก่อสร้างซึ่งจำเลยจะต้องกระทำตามสัญญา แต่จำเลยไม่ได้กระทำการก่อสร้างให้เสร็จสิ้นตามสัญญาดังกล่าวรวมเป็นเงินทั้งสิ้น46,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 46,500 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2516 โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาว่าจ้างจำเลยให้เป็นผู้ทำการก่อสร้างตึกอาคารสามชั้นครึ่ง โดยจำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างสัญญาว่าจะจัดหาวัสดุสัมภาระที่มีคุณภาพดีและช่างฝีมือดีมาเพื่อประกอบการก่อสร้างตามรายละเอียดรูปแบบรายการแนบท้ายสัญญาทุกประการ ปรากฏตามสำเนาสัญญาว่าจ้างท้ายฟ้อง ตามสัญญาข้อ 2 จำเลยสัญญาว่าจะทำการก่อสร้างงานรับจ้างให้แล้วเสร็จภายในเวลา 300 วันนับแต่วันเซ็นสัญญา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานนี้ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดหรือล่วงเวลา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันวันละ 500 บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วปรากฏว่างานที่จำเลยก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้นตามสัญญา จำเลยกลับละทิ้งงานก่อสร้างของโจทก์ไปโจทก์ได้ทวงถามและชี้แจ้งให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรหลายครั้งหลายหน เพื่อให้จำเลยทำงานที่ค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ จำเลยก็บิดพลิ้วไม่ยอมทำการก่อสร้างต่อไปอีก โจทก์จำเป็นต้องหาช่างใหม่มาทำการก่อสร้างต่อ ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างข้อ 2 ต้องชำระค่าปรับให้โจทก์วันละ 500 บาท นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนกระทั่งถึงวันที่โจทก์ทำสัญญาจ้างช่างใหม่มาทำการก่อสร้างต่อ คือวันที่ 20 ธันวาคม 2516 รวมเวลา 80 วัน เป็นเงินค่าปรับทั้งสิ้น 40,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน 40,000 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การต่อสู้คดีทั้งสองสำนวนว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าจำเลยก่อสร้างไม่เสร็จ ไม่พอที่จำเลยจะเข้าใจได้ ทำให้จำเลยหลงในข้อต่อสู้ ไม่อาจให้การแก่คดีหมดสิ้นทุกกระบวนความได้และต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในเหตุอื่น ๆ อีก ตลอดจนฟ้องแย้งเรียกค่าก่อสร้างที่ค้างจากโจทก์ในสำนวนแรกด้วย

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป และเมื่อคำฟ้องเดิมเคลือบคลุม คำฟ้องแย้งของจำเลยก็ต้องตกไปด้วยพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนและยกฟ้องของจำเลยด้วย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

วินิจฉัยว่าสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกระทำตามสัญญา แต่จำเลยไม่กระทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมากระทำแทน คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคือสัญญาจ้างและคำขอบังคับ คือจำนวนเงินที่ขอให้บังคับจำเลยชำระแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยแล้ว แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามีข้อความไม่แจ้งชัด กล่าวคือโจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้น 28รายการ โจทก์แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จ จำเลยมาก่อสร้างให้เพียง 7 รายการยังเหลืออยู่อีก 21 รายการ โจทก์ต้องจ้างช่างอื่นมาทำจึงเสร็จคำบรรยายฟ้องดังกล่าวไม่แสดงโดยแจ้งชัดว่า งานก่อสร้างที่จำเลยยังทำไม่เสร็จ 28 รายการนั้นคือรายการใดบ้าง จำเลยมาทำเสร็จไปอีก 7 รายการคือรายการใด และที่ยังคงค้างอยู่ 21 รายการนั้นคือรายการใด อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำการก่อสร้างข้อความที่โจทก์กล่าวในวงเล็บว่า ซึ่งโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้น คำฟ้องของโจทก์จึงมีข้อความไม่แจ้งชัด ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 บังคับไว้ เป็นฟ้องเคลือบคลุม

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องแสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่า สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาจ้างตามสำเนาท้ายคำฟ้อง คำขอให้บังคับคือจำนวนเงินที่ขอให้บังคับจำเลย ชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 2ซึ่งมีความว่าจำเลยจะทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 300 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนดยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาเพียงแต่บรรยายว่า จำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้ว ผิดกับคำฟ้องสำนวนแรกอันเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในการที่โจทก์ต้องไปจ้างบุคคลอื่นมาทำการก่อสร้างแทนจำเลยซึ่งโจทก์จำต้องบรรยายว่างานที่จำเลยทำไม่เสร็จเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นกระทำแทนนั้ คืองานอะไร มิฉะนั้นก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพียงใด คำฟ้องในสำนวนหลังมีข้อความครบถ้วนถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วไม่เคลือบคลุม โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี แต่ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยประเด็นอื่นจะพึงชี้ขาดว่าโจทก์ควรจะชนะคดีหรือไม่ สมควรที่จะให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดตามลำดับชั้นของศาล

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเฉพาะคดีสำนวนหลังคือคดีหมายเลขแดงที่ 66/2517 ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการพิพากษาใหม่ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลสำหรับสำนวนนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่คดีสำนวนแรกพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

Share