คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า โจทก์จำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่ง เมื่อเกิดบุตรแล้วก็ได้แจ้งสูติบัตรและโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงในชั้นชี้สองสถานว่าโจทก์จำเลยได้เสียกัน ในโรงแรมแล้วโจทก์เองเป็นผู้ไปแจ้งการเกิดของบุตรเพื่อออกสูติบัตร ดังนี้ แม้จะมีการสืบพยานโจทก์และฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำฟ้องดังกล่าวประกอบกับคำแถลงรับของโจทก์ กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปว่าเด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามมาตรา 1529 (5) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่มีเหตุที่จะให้มีการสืบพยาน ศาลชั้นต้นชอบที่จะให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส โจทก์มีบุตรกับจำเลยหนึ่งคน คือ เด็กชายกิจจงกล เมื่อเกิดบุตรแล้วก็ได้แจ้งสูติบัตร จำเลยไม่ส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์และไม่ยอมรับเด็กชายกิจจงกลเป็นบุตร ขอให้พิพากษาว่าเด็กชายกิจจงกลเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และให้จำเลยส่งเสียค่าเลี้ยงดูเด็กชายกิจจงกลเดือนละ ๕๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าเด็กชายกิจจงกลบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยไม่เคยได้เสียหลับนอนกัน เด็กชายกิจจงกลไม่ใช่บุตรของจำเลย จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องส่งเสียอุปการะเลี้ยงดู ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ โจทก์แถลงว่าโจทก์จำเลยได้เสียกันในโรงแรมจนเกิดบุตร และผู้ที่แจ้งเกิดเพื่อออกสูติบัตรคือตัวโจทก์เอง
ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องและคำแถลงรับข้อเท็จจริงของโจทก์มิใช่กรณีอันต้องด้วยมาตรา ๑๕๒๙ จึงปราศจากเหตุที่จะฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรได้ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า กรณีของโจทก์ปรับเข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๒๙(๕) ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วตัดสินตามรูปความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายแต่เพียงว่า โจทก์จำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่ง เมื่อเกิดบุตรแล้วก็ได้แจ้งสูติบัตรและโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงในชั้นชี้สองสถานว่าโจทก์จำเลยได้เสียกันในโรงแรมแล้วโจทก์เองเป็นผู้ไปแจ้งการเกิดของบุตรเพื่อออกสูติบัตร ดังนี้ แม้จะมีการสืบพยานโจทก์และฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำฟ้องดังกล่าวประกอบกับคำแถลงรับของโจทก์ กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปว่าเด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามมาตรา ๑๕๒๙ (๕) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันพอจะถือได้ว่าเป็นบทบัญญัติที่โจทก์ตั้งเป็นมูลฟ้องร้องด้วยอีกบทหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะให้มีการสืบพยานตามที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมา ให้ยกฟ้องนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share