คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19391/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ให้ไว้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นเพราะจำเลยได้โอนที่ดินพิพาทไปให้บุคคลภายนอกซึ่งถือได้ว่าเป็นความผิดอันเกิดแต่ฝ่ายของจำเลยเอง จำเลยยังคงมีความรับผิดที่จะต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้อง เพราะอาจมีการเพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลย และดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยไม่จำต้องรับผิดดำเนินการดังกล่าวต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้ที่มีชื่อร่วมกับจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากโฉนดที่ดินแล้วโอนเป็นชื่อของจำเลยและไถ่ถอนจำนองแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ เพื่อให้โจทก์นำที่ดินไปจำนองกับธนาคารนำเงินมาชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่โจทก์กับบริวารออกจากที่ดินตามฟ้อง และให้โจทก์ชำระค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่ดินตามฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 100,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของฟ้องแย้งให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้มีชื่อร่วมกับจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 941 ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ และรับชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ 130,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 170,000 บาท นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ที่เสียเกินมา 2,000 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยมาแล้วว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 941 ตำบลคอรุม อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ มีชื่อจำเลยและนายเทียนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม เมื่อปี 2547 จำเลยตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท โดยจำเลยส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าทำประโยชน์และรับชำระราคาบางส่วนจากโจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท และจำเลยตกลงจะดำเนินการขอคัดชื่อนายเทียน ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากทะเบียนและไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ โดยหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้ว จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายวุฒิพงษ์หรือหลอย และต่อมาจำเลยจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินเฉพาะส่วนของนายเทียน โดยการครอบครองและจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายวุฒิพงษ์ในวันเดียวกันตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดิน
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในส่วนที่ให้จำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้มีชื่อร่วมกับจำเลย (นายเทียน) ออกจากโฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่นายวุฒิพงษ์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไปแล้ว จึงถือว่าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้มีชื่อร่วมกับจำเลยที่ถึงแก่ความตายไปแล้วออกจากโฉนดที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้นั้น เห็นว่า ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 จำเลยยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาทที่ยังสามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่มีต่อโจทก์ได้ กรณีจึงมิใช่เรื่องสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้โจทก์จะขอให้ศาลบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรคหนึ่ง แม้ต่อมาภายหลังจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยแล้ว จำเลยจะได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายวุฒิพงษ์และจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินเฉพาะส่วนของนายเทียนโดยการครอบครองแล้วจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายวุฒิพงษ์ไปเสียทั้งหมดก็ตาม แต่จำเลยก็ยังคงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ได้ให้ไว้แก่โจทก์ซึ่งได้ฟ้องขอให้บังคับชำระหนี้ดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งการที่จำเลยไม่ปฏิบัติหรือไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ให้ไว้แก่โจทก์ได้นั้น เป็นเพราะจำเลยได้โอนที่ดินพิพาทไปให้บุคคลภายนอกซึ่งถือได้ว่าเป็นความผิดอันเกิดแต่ฝ่ายของจำเลยเอง จำเลยยังคงมีความรับผิดที่จะต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้อง เพราะอาจมีการเพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนให้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยและดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยไม่จำต้องรับผิดดำเนินการดังกล่าวต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่งระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ดำเนินการคัดชื่อนายเทียนซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากทะเบียนที่ดินพิพาทและไถ่ถอนจำนองแล้ว ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้มีชื่อร่วมกับจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากโฉนดที่ดินพิพาท และไถ่ถอนจำนองอีกจึงไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และคดีนี้จำเลยยื่นฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลมา 3,400 บาท จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยดำเนินการคัดชื่อของผู้มีชื่อร่วมกับจำเลยซึ่งถึงแก่ความตายแล้วออกจากโฉนดที่ดินพิพาทและไถ่ถอนจำนอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 3,200 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share