คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินและอาคารโรงงานได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยสุจริตโจทก์ย่อมได้สิทธิในที่ดินและอาคารโรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1330แม้หลังจากทำการขายทอดตลาดไปแล้วจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดและคดีส่วนที่คัดค้านยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องการเพิกถอนการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา296อีกส่วนหนึ่งหาใช่เรื่องการขายทอดตลาดเป็นโมฆะไม่เมื่อศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโจทก์ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารโรงงานโดยสมบูรณ์เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมซึ่งยังคงอาศัยอยู่ได้อยู่อาศัยในที่ดินและอาคารโรงงานต่อไปและได้แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจำเลยเพิกเฉยการกระทำของจำเลยย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1932และ 5362 ซึ่งมีเนื้อที่ดินติดต่อเป็นผืนเดียวกัน พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารโรงงาน 2 หลัง โดยโจทก์ประมูลซื้อมาได้จากการขายทอดตลาดในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1591/2529 ของศาลชั้นต้นโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและอาคารดังกล่าวอยู่อาศัยต่อไป จึงแจ้งให้จำเลยทราบแต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ที่ดินและอาคารโรงงานดังกล่าวอยู่ในย่านทำเลการค้าที่เจริญมาก หากโจทก์ทำการค้าหรือทำประโยชน์ด้านอื่นแล้วจะได้ผลประโยชน์ตอบแทนไม่น้อยกว่าเดือนละ 20,000 บาทโจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ 20,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารโรงงานของโจทก์โดยส่งมอบที่ดินและอาคารโรงงานในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารโรงงานของโจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินและอาคารโรงงานของจำเลยจากการขายทอดตลาดในราคาเพียง 4,750,000 บาท ทั้งที่ดินและอาคารโรงงานดังกล่าวมีราคาไม่ต่ำกว่า 7,000,000 บาท จึงเป็นการซื้อโดยไม่สุจริต จำเลยได้คัดค้านการขายทอดตลาดไว้แล้ว ขณะนี้คดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยจึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินและอาคารโรงงานต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1932 กับเลขที่ 5362 และอาคารโรงงานเลขที่ 85/1หมู่ 8 กับอาคารโรงงานอีกหลังหนึ่งซึ่งไม่มีเลขที่ ตำบลคลองด่านอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินสองโฉนดดังกล่าว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและอาคารโรงงานดังกล่าว จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ10,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าการที่จำเลยคัดค้านการขายทอดตลาดและคดีส่วนที่คัดค้านยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยจึงชอบที่จะอยู่ในที่ดินและอาคารโรงงานพิพาทได้โดยชอบด้วยกฎหมายการกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ เพราะการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินและอาคารโรงงานพิพาทได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1591/2529 โดยสุจริต ดังนั้นโจทก์ย่อมได้สิทธิในที่ดินและอาคารโรงงานพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330แม้หลังจากทำการขายทอดตลาดไปแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาด และคดีส่วนที่คัดค้านยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ก็เป็นเรื่องการเพิกถอนการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 อีกส่วนหนึ่งหาใช่เรื่องการขายทอดตลาดเป็นโมฆะไม่ เมื่อศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาด โจทก์ย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารโรงงานพิพาทโดยสมบูรณ์ เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมซึ่งยังคงอาศัยอยู่ ได้อยู่อาศัยในที่ดินและอาคารโรงงานพิพาทต่อไป และได้แจ้งให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย”
พิพากษายืน

Share