แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ที่ พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 39 บัญญัติว่า “…ห้ามมิให้ศาลประทับเป็นฟ้องตามกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นที่พอใจศาลว่าผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระ… หรือจะถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาล” นั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ให้ผู้รับประเมินได้ชำระหนี้ค่าภาษีจนหนี้ค่าภาษีที่พนักงานเก็บภาษีได้แจ้งการประเมินระงับสิ้นไปเสียก่อน หากเมื่อศาลตัดสินให้ลดภาษี ผู้รับประเมินจึงจะมีสิทธิมาขอรับคืนเงินส่วนที่ลดลงมาได้ตามเงื่อนไขของบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวในวรรคท้าย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ผู้รับประเมินใช้การฟ้องคดีต่อศาลเพื่อประวิงการชำระหนี้ค่าภาษี และตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคสาม การชำระหนี้ด้วยเช็ค หนี้จะระงับเมื่อเช็คได้ใช้เงินแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยอนุมัติให้โจทก์ผ่อนชำระค่าภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 และโจทก์สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้ไว้ซึ่งจะถึงกำหนดชำระหลังจากวันฟ้อง หนี้ค่าภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 จึงยังไม่ระงับสิ้นไปและถือไม่ได้ว่าผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระดังที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องสำหรับข้อหาเกี่ยวกับค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2537 ถึง 2543
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เพื่อปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมโดยโจทก์มีหน้าที่ชำระภาษีที่ดินภาษีโรงเรือน หรือภาษีอื่นที่เกิดจากการเช่าตามสัญญาเช่าดังกล่าว พนักงานเก็บภาษีสำนักงานเขตปทุมวันแจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินไปยังสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เห็นว่าการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินดังกล่าวสูงเกินความเป็นจริงและไม่เป็นธรรมจึงได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2535 และ 2536 ต่อสำนักงานเขตปทุมวันแล้ว ส่วนภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 โจทก์ยื่นคำร้องขอผ่อนชำระเป็น 48 งวด และโจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด ชำระเงินตามงวดดังกล่าว งวดที่ 1 เช็คลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 และงวดต่อไป เช็คลงวันที่ 20 ของเดือนต่อ ๆ ไปจนครบ 48 งวด งวดสุดท้ายเช็คลงวันที่ 20 ตุลาคม 2547 โดยโจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้และหนังสือค้ำประกันต่อสำนักงานเขตปทุมวันด้วย ต่อมาจำเลยชี้ขาดยืนตามการประเมินของพนักงานเก็บภาษี โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมิน จำเลยต้องคืนเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระเกินไปเป็นเงินจำนวน 76,395,688.80 บาท ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยและการประเมินของพนักงานเก็บภาษีสำนักงานเขตปทุมวันและให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระเกินไป 76,395,688.80 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) และวรรคท้าย ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า โจทก์ร่วมมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3008 ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมให้โจทก์เช่าที่ดินดังกล่าวบางส่วน เพื่อปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมในนามของโจทก์ร่วม แล้วให้โจทก์เช่าโดยโจทก์มีหน้าที่ต้องเป็นผู้ชำระภาษีโรงเรือนและภาษีอื่นใดที่เกิดจากการเช่าตามสัญญาแทนโจทก์ร่วม ในระหว่างอายุสัญญาเช่า พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินภาษีโรงเรือนในอาคารดังกล่าวในระหว่างปีภาษี 2535 ถึง 2543 โจทก์และโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ โจทก์และโจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ แต่จำเลยมีคำสั่งยืนตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ประเมินไว้ โจทก์ร่วมเห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยและการประเมินของพนักงานเก็บภาษีสำนักงานเขตปทุมวันที่จำเลยแต่งตั้ง และให้จำเลยชี้ขาดให้พนักงานเก็บภาษีสำนักงานเขตปทุมวันรับประเมินค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนของอาคารเลขที่ 4/1 – 2 ถนนราชดำริ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร และคืนเงินตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายโต้แย้งการประเมินภาษีปี 2535 และ 2536 ว่าไม่ชอบอย่างไร จึงต้องถือว่าโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีในปี 2535 และ 2536 ส่วนการประเมินภาษีในปี 2537 ถึง 2543 โจทก์ยื่นฟ้องโดยมิได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระหรือจะถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 39 ประเด็นอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย และพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อพนักงานเก็บภาษีของจำเลยได้แจ้งรายการประเมินและเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2537 ถึง 2543 โจทก์ร่วมโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำร้องขอผ่อนชำระเป็น 48 งวด งวดละเดือน เดือนละ 3,243,919.45 บาท งวดสุดท้ายชำระ 3,243,919.90 บาท โดยจ่ายเช็คชำระค่างวดดังกล่าว งวดที่ 1 เช็คลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 งวดต่อไปเช็คลงวันที่ 20 ของเดือนถัดไปจนครบ 48 งวด ในวันที่ 20 ตุลาคม 2547 พร้อมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้จำเลยโดยมีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยตกลงให้โจทก์ร่วมผ่อนชำระค่าภาษีได้ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ แต่ผู้ว่าราชการของจำเลยมีคำชี้ขาดตามการประเมินของพนักงานเก็บภาษีของจำเลย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับค่าภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยอนุมัติให้โจทก์ผ่อนชำระค่าภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 โดยโจทก์ได้สั่งจ่ายเช็ค พร้อมกับทำหนังสือรับสภาพหนี้และทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้แก่จำเลย จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าภาษีตามการประเมินแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 มาตรา 39 บัญญัติว่า “…ห้ามมิให้ศาลประทับเป็นฟ้องตามกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นที่พอใจศาลว่าผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระ…หรือจะถึงกำหนดชำระระหว่างที่คดียังอยู่ในศาล” นั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ให้ผู้รับประเมินได้ชำระหนี้ค่าภาษีจนหนี้ค่าภาษีที่พนักงานเก็บภาษีได้แจ้งการประเมินระงับสิ้นไปเสียก่อน หากเมื่อศาลตัดสินให้ลดค่าภาษี ผู้รับประเมินจึงจะมีสิทธิมาขอรับคืนเงินส่วนที่ลดลงมาได้ตามเงื่อนไขของบทบัญญัติแห่งมาตราดังกล่าวในวรรคท้าย ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ผู้รับประเมินใช้การฟ้องคดีต่อศาลเพื่อประวิงการชำระหนี้ค่าภาษี เพราะการกระทำดังกล่าวอาจทำให้ทางราชการขาดเงินรายได้จากภาษีมาใช้ในการบริหารราชได้ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม การชำระหนี้ด้วยเช็ค หนี้จะระงับเมื่อเช็คได้ใช้เงินแล้ว ดังนั้น หนี้ค่าภาษีประจำปี 2537 ถึง 2543 จึงยังไม่ระงับสิ้นไป และถือไม่ได้ว่าผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระดังที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องสำหรับข้อหาเกี่ยวกับค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2537 ถึง 2543…”
พิพากษายืน