คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081-1082/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์เพราะสัญญาเช่าสิ้นอายุ การที่จำเลยเช่าที่ดินซึ่งปลูกห้องพิพาทจากวัดไม่อาจทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือห้องพิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์ได้
โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การที่จำเลยเพียงแต่ตอบโจทก์ไปว่าต้องการเช่าต่อในอัตราค่าเช่าเดิมนั้น ถือไม่ได้ว่าได้มีสัญญาเช่ากันต่อไป เพราะโจทก์ไม่ได้สนองรับว่าจะให้เช่าในอัตราค่าเช่าเท่าเดิมตามที่จำเลยเสนอ

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ พิจารณาพิพากษารวมกัน
คดีแรก โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องแถวปลูกอยู่ในที่ดินของวัดมหาพุทธาราม จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่าห้องแถว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ออกจากห้องไปแล้วให้จำเลยที่ ๒ เข้ามาอยู่แทน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นบริวารของจำเลยที่ ๑ ทำการค้าร่วมกัน ที่ดินที่ปลูกห้องพิพาทเป็นที่ของวัด เดิมโจทก์เช่าปลูกห้องแถว ต่อมาโจทก์ผิดสัญญากรมการศาสนา บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ สิ้นอายุ โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลยที่ ๑ ว่าสิ้นสัญญาเช่าแล้ว หากจำเลยจะเช่าต่อ ให้แจ้งความจำนงภายใน ๑๐ วัน ซึ่งจำเลยที่๑ ได้ตอบขอเช่าต่อไป ในอัตราค่าเช่าเดิม ถ้าหากโจทก์ไม่ยินยอมให้เช่า ก็ให้โจทก์รื้อห้องพิพาทไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าที่ดินแห่งเดียวกันนี้มาจากวัดนี้แล้ว และว่าค่าเสียหายโจทก์เสียหายโจทก์ฟ้องเรียกเก็บความจริง จำเลยที่ ๑ ฟ้องแย้ง ขอให้โจทก์รื้อห้องแถวพิพาท และให้ชำระค่าเช่าที่ดินแก่จำเลยเนื่องจากโจทก์ได้รับประโยชน์จากห้องพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินที่เช่าอยู่แล้ว แต่ผู้ให้เช่ากลับเอาที่ดินไปให้จำเลยที่ ๑ เช่าอีก ทั้งเป็นการเช่าที่ไม่จดทะเบียน โจทก์จึงมีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ ๑
คดีที่ ๒ โจทก์ฟ้องขับไล่โดยอ้างว่า จำเลยปลูกห้องแถวพิพาทแล้วให้เช่าช่วงไปวัดโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยปลูกห้องแถวพิพาทแล้วให้เช่าช่วงไปวัดโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว วัดจึงได้ให้นายฮ่องกวงเช่าที่ดินของวัดแห่งเดียวกันนั้น ขอให้ขับไล่นายอุยเงี๊ยบจำเลยรื้อห้องแถวพิพาทออกไป
การอุบเงี๊ยบจำเลยให้การว่า การที่ทางวัดเอาที่ธรณีสงฆ์ตรงที่จำเลยเช่าปลูกห้องแถวอยู่แล้วไปให้นายฮ่วงกวงเช่าช้อนโดยจำเลยมิได้ผิดสัญญาและสัญญาเช่าก็ยังมีอยู่ เป็นกระทำโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า
คดีแรก ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากห้องพิพาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
คดีที่ ๒ ให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว
คดีแรก พิพากษายืน
คดีที่ ๒ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยในคดีแรกและโจทก์ในคดีที่ ๒ ฎีกา ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีเป็นเรื่องที่นายอุยเงี๊ยบฟ้องขับไล่นายฮ่วงกวง และนายฮ่วยเต็กออกจาห้องพิพาทซึ่งเป็นของนายอุยเงี๊ยบโจทก์ เพราะสัญญา เช่าสิ้นอายุ การที่นายฮ่วงกวงจำเลยที่ ๑ เช่าที่ดินซึ่งปลูกห้องพิพาทจากวัด ไม่อาจทำให้นายฮ่วงกวงจำเลยมีสิทธิเหนือห้องแถวรายพิพาท ซึ่งเป็นของนายอุยเงี๊ยบโจทก์ได้
เมื่อนายอุยเงี๊ยบโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การที่จำเลยเพียงแต่กอบไปยังโจทก์กว่า ต้องการเช่าต่อไปในอัตราเช่าเดิมนั้น ถือไม่ได้ว่า ได้มีสัญญาเช่ากันต่อไป เพราะโจทก์ไม่ได้สนองรับว่าจะให้เช่าในอัตราค่าเช่า เท่าเดิม ตามที่จำเลยเสนอ
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share