แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินมีการแบ่งที่ดินที่ซื้อขายกันเป็น 3 ส่วน ตามสัญญา ข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ตามลำดับ และมีข้อตกลงกับเงื่อนไขในการซื้อขายของที่ดินแต่ละส่วนแยกต่างหากจากกันตามข้อสัญญาแต่ละข้อดังกล่าว โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ส่วนคดีแพ่งเรื่องเดิมแม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็นและศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วเพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ดังนี้ ผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ การที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2527 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน โดยโจทก์จะขายที่ดินเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 46 ไร่ ให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งซึ่งแยกที่ดินเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ซึ่งเนื้อที่ครึ่งหนึ่งตกลงกันในราคา1,138,500 บาท โดยจำเลยได้ชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญา ส่วนที่สองเป็นที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 78, 18 และ 62 ซึ่งเนื้อที่ครึ่งหนึ่งตกลงกันในราคา 823,412 บาทจำเลยวางเงินมัดจำไว้ 329,365 บาท คงเหลือ 494,047 บาท กำหนดจะชำระภายในเวลา 1 ปี นับจากวันทำสัญญา และส่วนที่สามเป็นที่ดินยังไม่มีหลักฐานสำหรับที่ดินซึ่งเนื้อที่ครึ่งหนึ่งตกลงกันในราคาไร่ละ 190,000 บาท โดยเมื่อโจทก์ออกหลักฐานสำหรับที่ดินได้แล้วจะแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจะต้องชำระเงินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินให้แก่โจทก์ภายในเวลา 30 วัน และชำระอีกร้อยละ 30 ภายในเวลา 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ได้รับชำระงวดแรก ต่อมาจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 โดยไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือสำหรับที่ดินที่มี น.ส.3 โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและฟ้องคดีต่อศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โดยเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 และวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาข้อ 3 เมื่อยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ โจทก์จึงฟ้องใหม่เป็นคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายข้อ 2 ได้ และเมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยจะต้องโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ในส่วนของจำเลยที่ได้รับโอนไปจากโจทก์คืนแก่โจทก์ และการที่จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือ 494,047 บาท แก่โจทก์ทำให้โจทก์เสียหายซึ่งคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 28 มิถุนายน2528 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระจนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2535 เป็นเงิน 259,374.64บาท ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ในส่วนของจำเลยที่รับโอนไปจากโจทก์คืนแก่โจทก์ และให้จำเลยรับเงินค่าที่ดินจำนวน 1,138,500 บาท ไปจากโจทก์หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนากับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 259,374.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530ของศาลชั้นต้น สัญญาตามฟ้องแยกที่ดินเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 ซึ่งเมื่อจำเลยชำระราคาครบถ้วนและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยแล้ว ก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและแยกจากที่ดินส่วนอื่นได้ สำหรับส่วนที่สองและส่วนที่สามเป็นที่ดินมี น.ส.3 และที่ดินที่ยังไม่มีหลักฐานหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินซึ่งโจทก์จะต้องออกเป็นโฉนดที่ดินก่อน จึงจะเรียกให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือหรือชำระราคาที่ดินแล้วแต่กรณีได้ มิฉะนั้นก็ไม่จำต้องมีกำหนดเวลาให้ชำระราคา สัญญาเกี่ยวกับที่ดินในสองส่วนหลังเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อโจทก์ออกเป็นโฉนดที่ดินได้เพียงแปลงเดียว คือโฉนดเลขที่ 20268 ส่วนแปลงอื่นยังไม่ได้ออกเป็นโฉนดที่ดิน จึงเรียกให้จำเลยชำระส่วนที่เหลือหรือชำระราคาที่ดินแล้วแต่กรณีไม่ได้ จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 9914 คืนและเรียกค่าเสียหาย ก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวโดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์จะถือเอาหนังสือบอกเลิกสัญญาฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2528มาเป็นข้ออ้างว่าได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้แล้วไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดแล้ว อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยประกอบกับสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายคำฟ้องและท้ายคำให้การจำเลยปรากฏว่า ที่ดินที่ซื้อขายกันแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดตกลงซื้อขายกัน เนื้อที่ครึ่งหนึ่งในราคา 1,138,500 บาท โดยจำเลยได้ชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญาตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินข้อ 1 และโจทก์ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนี้ให้แก่จำเลยแล้ว ส่วนที่สองเป็นที่ดิน น.ส.3 จำนวน 3 แปลง ตกลงซื้อขายกันเนื้อที่ครึ่งหนึ่งในราคา 823,412บาท โดยจำเลยได้วางมัดจำในวันทำสัญญา 329,365 บาท ส่วนที่เหลืออีก 494,047บาท กำหนดจะชำระภายในเวลา 1 ปี นับจากวันทำสัญญาตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินข้อ 2 และส่วนที่สามเป็นที่ดินยังไม่มีหลักฐานหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินตกลงซื้อขายกันเนื้อที่ครึ่งหนึ่งในราคาไร่ละ 190,000 บาท โดยเมื่อโจทก์ออกหลักฐานหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินได้แล้วจะแจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยจะต้องชำระเงินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินให้แก่โจทก์ภายในเวลา 30 วัน และชำระอีกร้อยละ 30ภายในเวลา 1 ปี นับจากวันที่โจทก์ได้รับชำระงวดแรกตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินข้อ 3 เมื่อมีการแบ่งที่ดินที่ซื้อขายกันเป็น 3 ส่วน และมีข้อตกลงกับเงื่อนไขในการซื้อขายของที่ดินแต่ละส่วนแยกต่างหากจากกันดังกล่าวและโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวกับที่ดิน น.ส.3 โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นสุดลง คดีมีประเด็นในคดีว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ส่วนคดีเดิมคือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 738/2530 ของศาลชั้นต้น แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาข้อ 2 คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น และศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว เพราะฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ซึ่งผลก็คือศาลฎีกายังมิได้วินิจฉัยในคดีเดิมว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 หรือไม่ ดังนี้ ที่โจทก์มาฟ้องในคดีนี้ว่าจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 จึงไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน อันจะเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี