แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทโจทก์ที่กำหนดว่า การเรียกเงิน ยอมรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้อื่นเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งทำให้เสียความเที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่หรือทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย เป็นความผิดกรณีร้ายแรงนั้น หมายถึงการที่ลูกจ้างของโจทก์ได้เรียกเงิน ยอมรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้อื่น โดยมีความมุ่งหมายที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม หรือลักษณะของการกระทำดังกล่าวทำให้เสียความเที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นผลที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การที่ ก. ลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการกู้ยืมเงิน ท. ลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นผู้ที่สนิทสนมกับ ก. โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผลจากการกู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียความเที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของ ก. หรือทำให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใด การกระทำของ ก. ดังกล่าวไม่เป็นความผิดที่ร้ายแรง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยแก่นายโกวิท จำนวน ๙๙,๒๐๐ บาท เนื่องจากนายโกวิทกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีที่ร้ายแรง โจทก์จึงมีหนังสือเลิกจ้างนายโกวิท
จำเลยให้การว่า คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งออกโดยจำเลยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน นายโกวิทไม่ได้กระทำความผิด หนังสือเลิกจ้างของโจทก์มิได้ระบุเหตุผลแห่งการเลิกจ้างไว้ โจทก์จึงต้องจ่าย ค่าชดเชย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิจารณาแล้ว คดีนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ประกอบกิจการ รับบริการรักษาความปลอดภัย นายโกวิท โพธิ์แก้ว เป็นลูกจ้างโจทก์ ครั้งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๒,๔๐๐ บาท ส่วนนางทองจันทร์ โสมอินทร์ เป็นลูกจ้างโจทก์ ทำหน้าที่พนักงานรักษาความปลอดภัย และนายโกวิทเคยเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของนางทองจันทร์ นายโกวิทเคยยืมเงินจาก นางทองจันทร์หลายครั้ง ต่อมานายโกวิทได้ยืมเงินจากนางทองจันทร์อีกรวม ๖,๐๐๐ บาท แล้วไม่คืนเงินที่ยืมให้แก่ นางทองจันทร์ นางทองจันทร์จึงร้องเรียนต่อโจทก์ โจทก์เห็นว่าการกระทำของนายโกวิทเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงานของโจทก์กรณีร้ายแรงจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย นายโกวิทได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยในฐานะพนักงานตรวจแรงงานสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายโกวิทไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรงจึงมีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยจำนวน ๙๙,๒๐๐ บาท แก่นายโกวิท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คำสั่งของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ที่ว่า “เรียกเงิน ยอมรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากผู้อื่นเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งทำให้เสียความเที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ หรือทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย” เป็นความผิดกรณีร้ายแรงนั้น หมายถึง การที่พนักงานหรือลูกจ้างของโจทก์คนใดได้เรียกเงิน ยอมรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้อื่น โดยมีความมุ่งหมายที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรมหรือลักษณะของการกระทำดังกล่าวทำให้เสียความ เที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นผลที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายโกวิทกู้ยืมเงินจากนางทองจันทร์หลายครั้งก็เป็นเพียงการกู้ยืมเงินส่วนตัวในลักษณะคนที่รู้จักคุ้นเคยกันเท่านั้น และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผลจากการกู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียความเที่ยงธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของนายโกวิทหรือทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด การกระทำของนายโกวิทดังกล่าวไม่เป็นความผิดที่ร้ายแรง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเลิกจ้างนายโกวิทโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย คำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้แก่นายโกวิท ชอบแล้วไม่มีเหตุจะเพิกถอน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
(ปัญญา สุทธิบดี- พันธาวุธ ปาณิกบุตร – หัสดี ไกรทองสุก)