คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1932/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่พิพาทกันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนข้อเท็จจริงไม่รับ จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ฎีกาข้อเท็จจริงของจำเลยจึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
วัดโจทก์ตั้งเป็นสำนักสงฆ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 31 บัญญัติว่าวัดมีสองอย่าง คือวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาและสำนักสงฆ์ สำนักสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังมิได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาก็เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นของวัดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นวัด เป็นนิติบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยได้บุกรุกที่ดินป่าช้าของวัดโจทก์ โดยจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทับที่ดินป่าช้าของวัดโจทก์ดังกล่าวประมาณ 14 ไร่ จำเลยได้เข้าทำนาและปลูกเรือนในที่ดินดังกล่าวของวัดโจทก์ วัดโจทก์ให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอม ขอให้ขับไล่

จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องมิใช่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกคืนจากจำเลยไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้จำเลยรื้อเรือนออกไปจากที่พิพาท ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ ก. และข้อ ข. ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ ค. ศาลชั้นต้นไม่รับ เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง แต่คดีนี้เป็นคดีที่พิพาทกันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อ ค. ของจำเลยแล้ว จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ฎีกาข้อ ค. จึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะฎีกาข้อ ก. และข้อ ข. เพียงสองข้อเท่านั้น

จำเลยฎีกาข้อ ก. เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องพอสรุปได้ว่า โจทก์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นนิติบุคคลโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เมื่อพ.ศ. 2518 คำนวณแล้ว เป็นวัดที่ขออนุญาตเป็นสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2512 เป็นอย่างช้าวัดโจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องอำนาจฟ้องนี้ จำเลยให้การต่อสู้ในคำให้การข้อ 1 แต่เพียงว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลและได้มอบอำนาจให้นายเปลื้อง ศรีพระจันทร์เป็นตัวแทนฟ้องคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่อาจยอมรับได้ดังนี้ ถือว่าเป็นการปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไร จำเลยจึงไม่มีข้อต่อสู้และประเด็นที่จะนำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าวัดโจทก์สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 โดยตั้งเป็นสำนักสงฆ์ก่อน จนกระทั่ง พ.ศ. 2518 จึงได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัดเป็นทางการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ปรากฏตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเอกสารหมาย จ.1 และ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเปลื้อง ศรีพระจันทร์ฟ้องคดีนี้โดยถูกต้องแล้ว แม้จำเลยเองก็เบิกความเจือสมโจทก์ว่า เมื่อ พ.ศ. 2501 วัดโจทก์มีอยู่แล้ว เป็นสำนักสงฆ์ และนายสวน สระมาลา บิดาจำเลยก็เบิกความว่า พยานเป็นมัคทายกวัดโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 แสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดแล้วว่าวัดโจทก์ตั้งเป็นสำนักสงฆ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 แล้ว พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 31 บัญญัติว่าวัดมีสองอย่าง คือวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และสำนักสงฆ์จึงเห็นว่าสำนักสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังมิได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาก็เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 แล้ว จึงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นของวัดได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นป่าช้าของวัดโจทก์ จำเลยเข้าบุกรุกครอบครองทำกินในที่พิพาทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารได้

พิพากษายืน

Share