แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่พิพาทกันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนข้อเท็จจริงไม่รับ จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ฎีกาข้อเท็จจริงของจำเลยจึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น
วัดโจทก์ตั้งเป็นสำนักสงฆ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 31 บัญญัติว่าวัดมีสองอย่าง คือวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาและสำนักสงฆ์ สำนักสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังมิได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาก็เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นของวัดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นวัด เป็นนิติบุคคลโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้บุกรุกที่ดินป่าช้าของวัดโจทก์ โดยจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ทับที่ดินป่าช้าของวัดโจทก์ดังกล่าวประมาณ ๑๔ ไร่ จำเลยได้เข้าทำนาและปลูกเรือนในที่ดินดังกล่าวของวัดโจทก์วัดโจทก์ ให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอม ขอให้ขับไล่
จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องมิใช่เป็นทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์เกินกว่า ๑ ปีแล้ว โจทก์ฟ้องเรียกคืนจากจำเลยไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้จำเลยรื้อเรือนออกไปจากที่พิพาท ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยเฉพาะข้อ ก.และข้อ ข. ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ ค. ศาลชั้นต้นไม่รับ เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง แต่คดีนี้เป็นคดีที่พิพาทกันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อ ค. ของจำเลยแล้ว จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำสั่งดังกล่าว ฎีกาข้อ ค. จึงเป็นอันยุติ คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะฎีกาข้อ ก.และข้อ ข. เพียงสองข้อเท่านั้น
จำเลยฎีกาข้อ ก. เกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องพอสรุปได้ว่า โจทก์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นนิติบุคคลโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๘ คำนวณแล้ว เป็นวัดที่ขออนุญาตเป็นสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นอย่างช้าวัดโจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่ก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าเรื่องอำนาจฟ้องนี้ จำเลยให้การต่อสู้ในคำให้การข้อ ๑ แต่เพียงว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลและได้มอบอำนาจให้นายเปลื้อง ศรีพระจันทร์เป็นตัวแทนฟ้องคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่อาจยอมรับได้ดังนี้ ถือว่าเป็นการปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไรจำเลยจึงไม่มีข้อต่อสู้และประเด็นที่จะนำสืบ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าวัดโจทก์สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยตั้งเป็นสำนักสงฆ์ก่อน จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัดเป็นทางการ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ปรากฏตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการเอกสารหมาย จ.๑ และ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเปลื้อง ศรีพระจันทร์ ฟ้องคดีนี้โดยถูกต้องแล้ว แม้จำเลยเองก็เบิกความเจือสมโจทก์ว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ วัดโจทก์มีอยู่แล้ว เป็นสำนักสงฆ์ และนายสวน สระมาลา บิดาจำเลยก็เบิกความว่า พยานเป็นมัคทายกวัดโจทก์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ แสดงให้เห็นโดยแจ้งชัดแล้วว่าวัดโจทก์ตั้งเป็นสำนักสงฆ์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้ว พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๑ บัญญัติว่าวัดมีสองอย่าง คือวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และสำนักสงฆ์จึงเห็นว่าสำนักสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแล้ว แม้จะยังมิได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาก็เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒ แล้ว จึงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นของวัดได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีผู้ยกให้เป็นป่าช้าของวัดโจทก์ จำเลยเข้าบุกรุกครอบครองทำกินในที่พิพาทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารได้
พิพากษายืน