คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9046/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับกลุ่มวัยรุ่นที่ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แล่นมา 6 คัน จากนั้นพวกของจำเลยขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันหนึ่งมาด่าผู้เสียหายแล้วกลับไปรวมตัวกับกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาพวกของจำเลยและจำเลยขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มายังบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วพวกของจำเลยใช้ขวดสุราขว้างปาใส่ผู้เสียหาย พฤติการณ์การเชื่อได้ว่า กลุ่มวัยรุ่นที่กระทำการดังกล่าวเป็นกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดียวกันโดยมีจำเลยอยู่ร่วมกลุ่มด้วยมาโดยตลอด แสดงว่าจำเลยรับรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้มาตั้งแต่ต้น ประกอบกับขณะเกิดเหตุพวกของจำเลยที่ใช้ขวดขว้างปาใส่ผู้เสียหายยังใช้ผ้าปิดบังอำพรางใบหน้า ส่อแสดงว่าจะก่อเหตุร้ายขึ้นโดยไม่ให้มีผู้ใดจดจำได้ ซึ่งจำเลยย่อมตระหนักได้เป็นอย่างดี หากจำเลยไม่มีเจตนาร่วมกับพวกในการกระทำความผิด จำเลยก็ชอบจะแยกตัวไปโดยไม่เกี่ยวข้องด้วย พฤติการณ์แห่งคดีชี้ให้เห็นว่าจำเลยกับพวกคบคิดกันมาก่อนในการทำร้ายผู้เสียหาย และอยู่ในภาวะที่สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งยังหลบหนีไปด้วยกัน จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295 และนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8752/2556 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 6 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8752/2556 ของศาลชั้นต้น เมื่อคดีดังกล่าวศาลรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลา 20 นาฬิกา ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อยาที่สหกรณ์ของหมู่บ้าน ระหว่างทางพบกลุ่มวัยรุ่นบ้านทันซึ่งเป็นคนละหมู่บ้านกับผู้เสียหาย แต่มักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มา 6 คัน แต่ผู้เสียหายไม่สนใจ ต่อมาขณะที่ผู้เสียหายจะออกจากสหกรณ์ นายธีรพงศ์ และนายอนุพล ซึ่งเป็นวัยรุ่นบ้านทันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด่าผู้เสียหายว่า “ไอ้ควาย” แล้วขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กลับไปรวมกับพวกของตนที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งอยู่ห่างจากสหกรณ์ประมาณ 400 เมตร ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านยาย และใช้โทรศัพท์เรียกนายวุฒิชัย ให้มาพบ โดยผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปรออยู่ที่บริเวณถนนหน้าบ้านของนายวุฒิไกรที่เกิดเหตุ ต่อมาประมาณ 2 ถึง 3 นาที นายวุฒิชัยและภริยามายังที่เกิดเหตุแล้วพูดคุยกับผู้เสียหาย ระหว่างนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แล่นมา 6 คัน เมื่อรถจักรยานยนต์คันแรกแล่นผ่านไป คนที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่สองซึ่งมีผ้าปิดหน้าใช้ขวดขว้างปาใส่ผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ และโจทก์มีนายวุฒิชัยเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานได้รับโทรศัพท์จากผู้เสียหายแจ้งว่า มีกลุ่มวัยรุ่นขับรถจักรยานยนต์ 6 คัน มาก่อกวน พยานและภริยาจึงเดินไปพบผู้เสียหายบริเวณหน้าบ้านของนายวุฒิไกรที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพยานประมาณ 100 เมตร ระหว่างนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ประมาณ 6 คัน แล่นมายังบริเวณที่เกิดเหตุ คนร้ายที่ใช้ขวดขว้างปาใส่ผู้เสียหายมีผ้าคลุมหน้าและนั่งซ้อนท้าย หลังจากนั้นกลุ่มวัยรุ่นพากันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไป กลุ่มวัยรุ่นที่ขับรถจักรยานยนต์ที่พยานรู้จักและจำหน้าได้คือนายธีรพงศ์ นายสมหวัง นายอนุพล และจำเลย ส่วนจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า วันเกิดเหตุ เวลา 21 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์เพียงลำพังไปตามถนนที่เกิดเหตุเพื่อจะไปกรีดยาง ระหว่างที่ขับผ่านหมู่บ้านที่เกิดเหตุ จำเลยพบบุคคล 2 ถึง 3 คน ยืนคุยกันอยู่ แต่ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น หลังจากกลับจากกรีดยาง 2 ถึง 3 วัน จำเลยทราบจากยายว่า มีคนกล่าวหาจำเลยว่าไปทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ขณะที่มีการออกหมายจับจำเลย จำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้าน และจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้ไปพบ เห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์สวนทางกับกลุ่มวัยรุ่นที่ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์แล่นมา 6 คัน จากนั้นพวกของจำเลยขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันหนึ่งมาด่าผู้เสียหายแล้วกลับไปรวมกับกลุ่มวัยรุ่นที่อยู่ในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมาพวกของจำเลยและจำเลยขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มายังบริเวณที่เกิดเหตุ แล้วพวกของจำเลยใช้ขวดสุราขว้างปาใส่ผู้เสียหาย เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปในระยะเวลากระชั้นชิดต่อเนื่องกันโดยไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มอื่นอีก ตามพฤติการณ์ในคดีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า กลุ่มวัยรุ่นที่กระทำการดังกล่าวเป็นกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มเดียวกันโดยมีจำเลยอยู่ร่วมกลุ่มด้วยมาโดยตลอด แสดงว่าจำเลยรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เป็นมูลเหตุของคดีนี้มาตั้งแต่ต้น ประกอบกับขณะเกิดเหตุพวกของจำเลยที่ใช้ขวดขว้างปาใส่ผู้เสียหายยังใช้ผ้าปิดบังอำพรางใบหน้า ส่อแสดงว่าเจตนาจะก่อเหตุร้ายขึ้นโดยไม่ให้มีผู้ใดจดจำได้ ซึ่งจำเลยย่อมตระหนักได้เป็นอย่างดี หากจำเลยไม่มีเจตนาร่วมกับพวกในการกระทำความผิด จำเลยก็ชอบที่จะแยกตัวไปโดยไม่เกี่ยวข้องด้วย แต่จำเลยกลับร่วมกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะแล่นไปหาผู้เสียหายและใช้ขวดขว้างปาใส่ผู้เสียหาย แล้วหลบหนีไปด้วยกัน นอกจากนี้หลังเกิดเหตุ เมื่อจำเลยทราบจากยายว่า มีผู้กล่าวหาว่าจำเลยไปทำร้ายผู้เสียหาย หากจำเลยไม่มีเจตนาร่วมกับพวกในการกระทำความผิด จำเลยก็น่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเสียตั้งแต่โอกาสแรกที่อาจจะกระทำได้ แต่จำเลยก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนับจากเกิดเหตุเป็นเวลาถึงประมาณ 6 เดือน จนเจ้าพนักงานตำรวจต้องติดตามจับกุมจำเลยตามหมายจับ อันเป็นข้อพิรุธของจำเลย พฤติการณ์แห่งคดีชี้ให้เห็นว่าจำเลยกับพวกคบคิดกันมาก่อนในการทำร้ายผู้เสียหาย และอยู่ในภาวะที่สามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ อีกทั้งยังหลบหนีไปด้วยกัน จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกับพวกกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share