แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นบุรุษไปรษณีย์ ได้ขับรถยนต์ของกรมไปรษณีย์ฯ จำเลยที่ 2 ไปเก็บไปรษณียภัณฑ์ตามตู้ไปรษณีย์ตามหน้าที่ และจอดรถไว้ที่ขอบถนน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานควบคุมการจราจรบอกให้จำเลยที่ 1 ไปจอดรถบนไหล่ถนน เพราะการจราจรคับคั่ง จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์แล้วกลับไปขึ้นรถ โจทก์ตามไปยืนเอามือเท้าขอบประตูรถตรงที่นั่งคนขับและชะโงกศีรษะเข้าไปในรถแจ้งข้อหาว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 1 ขับรถออกไปโดยเร็วและผลักโจทก์ตกจากรถ ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ การที่จำเลยที่ 1ขัดขวางการจับกุมโดยขับรถเคลื่อนออกไปและผลักโจทก์ตกจากรถขนได้รับบาดเจ็บนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 1 และเป็นการทำร้ายร่างกายกันโดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และไม่ได้เป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการเป็นบุรุษไปรษณีย์ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไปเก็บไปรษณียภัณฑ์ตามตู้ไปรษณีย์ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถไปหยุดริมถนนเพื่อลงไปไขตู้ไปรษณีย์ ขณะนั้นเป็นเวลาที่การจราจรคับคั่ง การหยุดรถของจำเลยที่ ๑ ทำให้การจราจรติดขัด โจทก์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งสารวัตรปกครองป้องกัน มีหน้าที่ดูแลการจราจรในเขตท้องที่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๑ เคลื่อนรถไปจอดบนไหล่ถนน จำเลยที่ ๑ ได้กล่าวคำหยาบหมิ่นประมาทโจทก์และผละจากตู้ไปรษณีย์เพื่อจะขับรถหนี โจทก์ได้ตามไปประชิดรถแล้วแจ้งข้อหา จำเลยที่ ๑ ได้เคลื่อนรถออกไปโดยเร็ว รถจึงลากโจทก์ไปด้วย และจำเลยที่ ๑ ผลักโจทก์โดยแรง โจทก์ล้มฟาดถนนได้รับอันตรายสาหัส ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลและเสียหายแก่กายรวมเป็นเงิน ๓๑,๐๐๐ บาท ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำละเมิดและโจทก์ไม่ได้เสียหายมากดังฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องร่วมรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาที่ว่า จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดในการละเมิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะเป็นข้าราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ และในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ไปเก็บไปรษณีย์ตามตู้ไปรษณีย์ อันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ด่าหมิ่นประมาทโจทก์ เมื่อโจทก์จะเข้าทำการจับกุมในข้อหาหมิ่นประมาทจำเลยที่ ๑ ได้ขัดขวางไม่ให้โจทก์ทำการจับกุม โดยขับรถเคลื่อนออกไปผลักโจทก์ตกจากรถได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ ๑ และเป็นการทำร้ายร่างกายกันโดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ และไม่ได้เป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
พิพากษายืน
(สุธี ชอบธรรม วิกรม เมาลานนท์ ยิ่งศักดิ์ กฤษณจินดา)