คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองต่อโจทก์เพื่อประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งจำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระบุว่าให้มีกำหนดระยะเวลา 12 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีให้ถือตามบัญชีกระแสรายวัน ไม่มีข้อความใดในสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่มีอยู่ก่อนและภายหลังที่ครบกำหนด 12 เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ดังนั้นหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดก็คือหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลา 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญา กับดอกเบี้ยซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลานั้น ส่วนหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญาต้องนำมาหักออก
เมื่อโจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 3 ซึ่งรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันไม่เต็มตามฟ้องความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงควรมีเพียงเท่าค่าธรรมเนียมในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีต่อจำเลยที่ 3 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นลูกค้าของธนาคารโจทก์ที่สาขาถนนดินแดง โดยเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑๒ เดือน และยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ๑๔ ต่อปี จำเลยที่ ๓ ได้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในจำนวนเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน ครั้นต่อมาถึงวันที่ ๑๑พฤษภาคม ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันหักทอนบัญชี จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้อยู่ ๒๐๗,๕๕๖.๒๔ บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ ๓ ขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสามมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีหลายประการซึ่งไม่มีประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ แล้วต่อมาศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จริง แต่ไม่ต้องรับผิดเกินกว่า๗๐,๐๐๐ บาท และอัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี ในวันครบกำหนด ๑๒ เดือนตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังกำหนดเวลานั้น ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๒๐๗,๕๕๖.๒๔ บาทพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดเพียง ๗๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระ ให้บังคับจำนองที่ดินของจำเลยที่ ๓ ออกขายทอดตลาดชำระหนี้เท่าที่จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกเกินบัญชีไม่เกิน ๗๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ และดอกเบี้ยไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ ๑๒.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๖ จนถึงวันที่ชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นหนี้โจทก์อยู่เท่าใด จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตอนท้ายมีใจความว่า สัญญานี้มีกำหนดระยะเวลา ๑๒ เดือน นับแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นวันทำสัญญาเป็นต้นไป ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้นให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร และไม่มีข้อความใดในสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองว่าจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ มีต่อโจทก์ก่อนและภายหลังที่ครบกำหนดเวลา ๑๒ เดือน ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีด้วย ดังนั้นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็คือหนี้เบิกเงินเกินบัญชีที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ จนกระทั่งครบกำหนดระยะเวลา ๑๒ เดือนคือวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ ซึ่งได้ตัดทอนบัญชีและหักกลบลบกันแล้วเท่านั้น ปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันว่า ในวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๕ ซึ่งเป็นรายการสุดท้ายก่อนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์อยู่ก่อนแล้วเป็นเงิน ๔๔,๘๐๑.๒๖ บาท หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้เบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีตลอดเรื่อยมาจนถึงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ เมื่อหักทอนบัญชีและหักกลบลบกันแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้รวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน ๑๐๓,๓๐๓.๗๗ บาท ซึ่งยอดเงินจำนวนนี้รวมยอดหนี้ที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ จำนวน ๔๔,๘๐๑.๒๖ บาท เข้าไว้ด้วย จึงต้องนำยอดเงิน ๔๔,๘๐๑.๒๖ บาท มาหักออกเสียก่อนคงเหลือหนี้ที่จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ เพียง ๕๘,๕๐๒.๕๑ บาท แต่ยอดเงิน ๕๘,๕๐๒.๕๑ บาทที่จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยทบต้นรวมเข้าในยอดเงินดังกล่าวนี้แล้วตลอดมาทุกเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยทบต้นในยอดเงินนี้อีก
ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาขอให้แบ่งส่วนเงินค่าธรรมเนียมและค่าทนายความส่วนที่จำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชดใช้ให้โจทก์ด้วยนั้น โดยที่คดีนี้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ ๓ ไม่เต็มตามฟ้อง ทั้งจำเลยที่ ๓ ก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันและเป็นผู้จำนองค้ำประกันหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์เท่านั้น จึงสมควรแบ่งส่วนความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยที่ ๓ จะต้องร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่รูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกเกินบัญชีและดอกเบี้ยทบต้นตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๕ ถึงวันที่๒๑ สิงหาคม ๒๕๑๖ รวมเป็นเงิน ๕๘,๕๐๒.๕๑ บาท และดอกเบี้ยไม่ทบต้นอัตราร้อยละ๑๒.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๕๘,๕๐๒.๕๑ บาท ตั้งแต่วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๖ จนถึงวันชำระเสร็จตามคำพิพากษา ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้ให้โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเท่าค่าธรรมเนียมในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีต่อจำเลยที่ ๓ ในชั้นฎีกา โดยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดในค่าทนายความเพียง ๑,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share