แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่เจ้าของเรือให้จำเลยกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือพร้อมทั้งอวนและสิ่งของเครื่องใช้ไปจับปลาในทะเลในระยะเวลา 2 วัน เมื่อจับปลาเสร็จก็ต้องนำเรือกลับมามอบให้แก่เจ้าของเรือเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้าง ดังนี้ การครอบครองเรือพร้อมทั้งอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายจ้างเจ้าของทรัพย์เมื่อจำเลยได้เอาเรือและอวน สิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่รับของโจร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก ๑ คนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันกระทำความผิดคือใช้ขวานเป็นอาวุธตีนายโรจน์โดยเจตนาฆ่า นายโรจน์ได้ตกลงไปในทะเลและถึงแก่ความตาย เหตุที่จำเลยฆ่านายโรจน์ก็เพื่อกระทำความผิดฐานยักยอกเรือยนต์ของนายกี่พิงนายจ้างของจำเลยและเพื่อปกปิดความผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๖)(๗), ๘๓
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้รับมอบเรือจับปลาจากนายกี่พิงเพื่อให้ใช้ออกไปจับปลาในทะเล จำเลยได้เบียดบังเอาเรือไว้โดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓, ๘๓ นับโทษต่อจากสำนวนแรก
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๓๕๓ ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา ๙๑ จำคุกจำเลยตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยสำนวนแรกว่าพยานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานฆ่านายโรจน์ได้
สำนวนหลังวินิจฉัยว่า การที่จำเลยเอาเรือไปซุกซ่อนและบอกขายนั้น เป็นการลักทรัพย์ ไม่ใช่ยักยอกดังโจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าขณะที่จำเลยทำร้ายผู้ตายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาเพื่อเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะลักเอาเรือของกลางและมิใช่เจตนาปกปิดการกระทำผิดหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๖)(๗)
สำหรับข้อหาในสำนวนที่สอง นั้น เห็นว่าการที่นายกี่พิงสั่งให้นายจิตรซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือยนต์สงวนศิลป์ออกไปจับปลาตามหน้าที่เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่านายกี่พิงได้มอบการครอบครองเรือยนต์สงวนศิลป์พร้อมด้วยอวนและเครื่องใช้ทั้งหลายให้อยู่ในความครอบครองของนายจิตรเพราะการไปจับปลามีระยะเวลาเพียง ๒ วัน และไปจับปลาตามคำสั่งของนายกี่พิง เมื่อจับปลาเสร็จนายจิตร์ก็จะต้องนำเรือกลับมาเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างดังนั้น การครอบครองเรือยนต์สงวนศิลป์พร้อมด้วยอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายกี่พิงเจ้าทรัพย์ การที่นายจิตรและจำเลยรวมกันนำเอาเรือสงวนศิลป์และอวนสิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริตจึงเป็นการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามข้อหาในฟ้องสำนวนที่สอง โดยเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแต่ต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรค ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พร้อมกันพิพากษาแก้ เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิตนอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์