คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1925/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความอธิบดีกรมอัยการขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 282,116 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 282 และลงโทษปรับจำเลย จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีความผิดตาม มาตรา 282 ฝ่ายโจทก์ไม่อุทธรณ์มาตรา 116 จึงถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น ไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ในชั้นอุทธรณ์คงมีประเด็นว่าจำเลยจะมีความผิดตาม มาตรา 282 หรือไม่มาตราเดียวเท่านั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานตามที่แถลงไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความและศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าให้ดำเนินการเกี่ยวแก่ มาตรา 282 มาตราเดียวเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและระหว่างพิจารณาจำเลยได้ขออภัยต่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ติดใจว่ากล่าวเอาความแก่จำเลย โจทก์จึงแถลงขอถอนฟ้องเฉพาะข้อหาในฐานหมิ่นประมาทใส่ความตาม มาตรา 282 แต่โจทก์ย้อนหวนมาเอาความแก่จำเลยตาม มาตรา 116 ซึ่งไม่มีประเด็นอีกนั้นไม่ได้เพราะประเด็นตาม มาตรา 116 ได้ยุติในศาลชั้นต้นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความหลวงอรรถปรีชาชนูปการอธิบดีกรมอัยการ ขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 116, 282 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48

จำเลยให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตาม มาตรา 282จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานตามที่แถลงไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระหว่างศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณานั้นจำเลยได้ขออภัยต่อหลวงอรรถปรีชา ฯ ผู้เสียหาย ๆ ได้แถลงต่อศาลไม่ติดใจว่ากล่าวแก่จำเลย โจทก์จึงขอถอนฟ้องฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมาย มาตรา 282 ศาลอนุญาต ส่วนข้อหาฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานตาม มาตรา 116 โจทก์ขอให้ศาลพิจารณาต่อไป โจทก์จำเลยแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยานศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม กฎหมายอาญา มาตรา 116 ให้ปรับจำเลย 200 บาท

จำเลยอุทธรณ์ในข้อ กฎหมายว่าข้อความตามฟ้องที่ว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นถ้าเป็นผิดก็เป็นประเภทหมิ่นประมาทชนิดกล่าวร้ายใส่ความกันทำให้อาจเสียชื่อเสียงจัดอยู่ใน มาตรา 282 ส่วนความผิดต่อเจ้าพนักงานตาม มาตรา 116 เป็นเรื่องสบประมาทด่ากันซึ่งถ้าด่าคนธรรมดาไม่ใช้เจ้าพนักงานก็เป็นผิดลหุโทษตาม มาตรา 339 ข้อ 2 หรือข้อ 3 ถ้อยคำที่ศาลชั้นต้นกล่าวอ้างไม่ปรากฏถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นการด่าหรือสบประมาทตาม มาตรา 116

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตาม กฎหมายอาญา มาตรา 116 นี้มีข้อความบัญญัติลงโทษผู้ที่หมิ่นประมาทโดยการกล่าวคำสบประมาท การกล่าวคำใส่ความที่มีข้อความทำให้เจ้าพนักงานถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ก็ย่อมมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาทต่อเจ้าพนักงาน จึงเป็นผิดตาม มาตรา 116 ถ้อยคำที่จำเลยโฆษณาในคดีนี้มีลักษณะทำให้เจ้าพนักงานถูกดูหมิ่นหรือเกลียดชังได้จึงเป็นการหมิ่นประมาทต่อเจ้าพนักงานตาม มาตรา 116 อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

จำเลยฎีกาในข้อ กฎหมายต่อมา

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาทใส่ความหลวงอรรถปรีชาฯ อธิบดีกรมอัยการ ขอให้ลงโทษจำเลยตาม กฎหมายอาญา มาตรา 282, 116 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 282 และลงโทษปรับจำเลย ๆ อุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 282 ฝ่ายโจทก์ไม่อุทธรณ์ มาตรา 116 จึงถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้นไม่มีประเด็นในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ในชั้นอุทธรณ์คงมีประเด็นว่าจำเลยจะมีความผิดตาม มาตรา 282 หรือไม่มาตราเดียวเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าให้ดำเนินการพิจารณาเกี่ยวแก่มาตรา 282 มาตราเดียวเท่านั้นและศาลชั้นต้นก็ได้ดำเนินการพิจารณาใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีการะหว่างพิจารณาจำเลยได้ขออภัยต่อหลวงอรรถปรีชาฯ อธิบดีกรมอัยการผู้เสียหาย ๆ ไม่ติดใจว่าได้กล่าวเอาความแก่จำเลย โจทก์จึงแถลงขอถอนฟ้องจำเลยเฉพาะในข้อหาฐานหมิ่นประมาทใส่ความ มาตรา 282 แต่โจทก์ได้ย้อนหวนมาเอาความแก่จำเลยตาม มาตรา 116 ซึ่งไม่มีประเด็นอีกและศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาทับสัตย์ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยตาม มาตรา 116 ซึ่งศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะ มาตรา 116 ได้ยุติในศาลชั้นต้นตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share