คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีปัญหาว่า การลงชื่อทายาทตามฟ้องลงในแบบ น.ส.3ชอบหรือไม่เท่านั้น ฉะนั้น แม้โจทก์จะมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่พิพาทให้แน่ชัดว่าครอบครองจำนวนเท่าใดก็ตาม โจทก์ก็ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา โดยบรรยายข้อเท็จจริงและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนระบุไว้ชัดแจ้งว่า “ให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 9 ส่วน ให้โจทก์ทั้ง 3 ได้คนละ 1 ส่วน “คำพิพากษาดังกล่าวที่ให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วนก็เพื่อจะกำหนดจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์แต่ละคนที่ฟ้องว่าควรจะได้รับส่วนแบ่งมากน้อยเพียงใดเท่านั้นคำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือโจทก์ทั้งสามในคดีนั้น ส่วนทายาทอื่นไม่ได้เป็นโจทก์หรือร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่อาจจะถือเอาประโยชน์จากคำพิพากษานี้ได้
ทายาทอื่นมิได้ยื่นคำขอรับมรดกในที่ดินแปลงพิพาทซึ่งจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินกองมรดก การที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อทายาทนั้นลงไว้ในแบบ น.ส.3 จึงไม่ถูกต้อง โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและมีส่วนได้ในที่ดินแปลงพิพาทจึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์แต่ผู้เดียวมีชื่อเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่ามี น.ส. 3 แปลงหนึ่ง เนื้อที่ 63 ไร่ 3 งาน 68 ตารางวา และได้ครอบครองทำนาตลอดมาจนบัดนี้ บิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว โจทก์มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน คือ 1. นางเปิ๊ต แขกเต้า 2. นางโล๊ด ปุ๊แง 3. นายทิน แขกเต้า 4. นางพิมพ์ เปรมสำราญ 5. นางนิ่ม เจียมอยู่เพ็ง 6. นายริน แขกเต้า 7. นายเหล็งแขกเต้า 8. นางมา แขกเต้า 9. นายกรี แขกเต้า โจทก์คดีนี้นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งได้ฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่ดินดังกล่าว ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้แบ่งที่ดินออกเป็น 9 ส่วน ให้นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งคนละหนึ่งส่วนหลังจากศาลฎีกาพิพากษาแล้วโจทก์ยังใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองติดต่อกันตลอดมาจนทุกวันนี้ โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่เหลือจากที่แบ่งให้นางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็ง ตามคำพิพากษาแล้วบรรดาทายาทอื่นที่มิได้ส่วนแบ่งย่อมหมดสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2513 เจ้าพนักงานได้จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวออกเป็น 9 ส่วน ให้กับบุคคล 9 คนดังกล่าวคนละหนึ่งส่วน แต่ปรากฏว่านายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมไม่อาจถือเอาประโยชน์ตามคำพิพากษาฎีกานั้นได้ และไม่ปรากฏว่ามีทายาทของบุคคลทั้งสามมาขอรับมรดกแต่อย่างใด จึงเป็นการจดทะเบียนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะ โจทก์มีหนังสือคัดค้านขอให้ถอนชื่อบุคคลอื่นนอกจากนางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็งออกจากทะเบียนแล้ว แต่จำเลยทั้งสองในฐานะเจ้าพนักงานมีหน้าที่จะต้องแก้ไขหรือเพิกถอน แต่ก็ยังไม่มีการแก้ไขหรือเพิกถอนจนบัดนี้ ทำให้โจทก์ผู้มีสิทธิครอบครองได้รับความเสียหาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนใส่ชื่อ นายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า นางมา แขกเต้า ไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งสองถอนชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า นางมา แขกเต้า ออกจาก น.ส.3 แล้วใส่ชื่อโจทก์ไว้ตามเดิม

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ระบุว่าโจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินแปลงนี้จำนวนเท่าใด จำเลยรับว่าเจ้าพนักงานได้ทำการจดทะเบียนสิทธินิติกรรมแบ่งที่ดินมรดกให้แก่โจทก์และทายาทอื่นรวม 9 คน ได้รับคนละ 1 ส่วน ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ไม่เป็นโมฆะ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องนางพิมพ์ เปรมสำราญ กับพวก และนางนิ่ม เจียมอยู่เพ็ง กับพวกนั้น คดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาไม่ผูกพันจำเลยบุคคลภายนอก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม การที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ลงในแบบ น.ส.3 นั้น เป็นการไม่ชอบ ส่วนที่ขอให้ลงชื่อโจทก์แทนบุคคลทั้งสามโดยอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินส่วนนี้มานั้น จำเลยไม่ได้เข้าไปแย้งหรือรบกวนการครอบครองของโจทก์ โจทก์จะฟ้องจำเลยหาได้ไม่ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนชื่อนายทิน แขกเต้า นายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ออกจากแบบ น.ส.3และถอนชื่อออกจากสารบัญจดทะเบียนประเภทแบ่งให้ หากจำเลยขัดขืนให้ถือคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงสภาพแห่งข้ออ้างให้แน่ชัดว่าโจทก์ครอบครองที่ดินแปลงพิพาทจำนวนเท่าใดนั้นคดีนี้มีปัญหาวินิจฉัยว่า การลงชื่อทายาทตามฟ้องลงในแบบ น.ส.3 ชอบหรือไม่เท่านั้น ฉะนั้นแม้โจทก์จะมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ที่พิพาทให้แน่ชัดว่าครอบครองจำนวนเท่าใดก็ตาม โจทก์ก็ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา โดยบรรยายข้อเท็จจริงและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยฎีกาปัญหาว่าการจดทะเบียนแบ่งที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และโจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งสองได้หรือไม่นั้น เห็นว่าที่ดินพิพาทนี้มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เดิมมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียว ต่อมานางเปิ๊ต นางโล๊ด นายเหล็ง ทายาทเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้ ขอแบ่งที่ดินพิพาท คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 9 ส่วน ให้ทายาท3 คนที่ฟ้องคดีดังกล่าวได้คนละ 1 ส่วน ในคำพิพากษาฎีกาได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า”ให้แบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 9 ส่วน ให้โจทก์ทั้ง 3 ได้คนละ 1 ส่วน” คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวที่ให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ก็เพื่อจะกำหนดจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์แต่ละคนที่ฟ้องว่าควรจะได้รับส่วนแบ่งมากน้อยเพียงใดเท่านั้น คำพิพากษาย่อมมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือโจทก์ทั้งสามในคดี คือนางเปิ๊ต นางโล๊ด และนายเหล็ง ส่วนทายาทอื่นไม่ได้เป็นโจทก์หรือร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจจะถือเอาประโยชน์จากคำพิพากษานี้ได้ อีกประการหนึ่ง นายทิน แขกเต้านายริน แขกเต้า และนางมา แขกเต้า ไม่ได้ยื่นคำขอรับมรดกในที่ดินแปลงพิพาทซึ่งจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดินว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินทางมรดก ฉะนั้นการที่เจ้าพนักงานจดทะเบียนใส่ชื่อบุคคลทั้งสามลงไว้ในแบบ น.ส.3 จึงไม่ถูกต้องโจทก์ซึ่งเป็นทายาทและมีส่วนได้เสียในที่ดินแปลงพิพาทจึงมีอำนาจฟ้อง

พิพากษายืน

Share