แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะคดีแพ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอำนาจการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 25แต่ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามที่เห็นสมควรก็ได้ เมื่อปรากฏว่าศาลได้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย และขอให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้โจทก์ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแต่ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป อันมีผลเท่ากับศาลไม่อนุญาตให้จำหน่ายคดีตามคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว แม้ในวันนัดต่อ ๆ มาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้มาศาลก็ตาม แต่ศาลได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบที่หน้าศาลทุกครั้ง กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีแทนจำเลยแล้วเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดีผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุด ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 93.
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีนี้โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2530 แต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ผู้ร้องได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกรวม 3 คน เป็นคดีแพ่ง เรื่องผิดสัญญาซื้อขายในระหว่างการพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นได้หมายเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เข้าว่าคดีแทนจำเลยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีแพ่งเฉพาะจำเลยเสีย ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวได้แถลงคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งดังกล่าวต่อไปแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้องเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2531 คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม 2531 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง ทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำคัดค้านว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้เข้าว่าคดีแทนจำเลยในคดีแพ่งที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ คำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในอันที่จะให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 93 เมื่อผู้ร้องได้ทราบถึงการที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วแต่ผู้ร้องมิได้ขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 ย่อมถือว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะนำหนี้ดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงร่วมกันว่า คดีมีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่4950/2531 ของศาลชั้นต้น ทั้งสองฝ่ายไม่ขอสืบพยาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับจากวันที่คดีแพ่งถึงที่สุดหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4950/2531 ของศาลชั้นต้นอยู่ในระหว่างพิจารณาสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวคือจำเลยในคดีนี้ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า จำเลยถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2530 ศาลเห็นว่าเมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์ อำนาจในการต่อสู้คดีตกแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงให้เลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ใหม่กับมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทราบ และสอบถามว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้าดำเนินคดีแทนจำเลยหรือไม่ให้แถลงต่อศาลก่อนวันนัด ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 16 เมษายน 2530 ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงต่อศาลว่า คดียังอยู่ในระหว่างที่เจ้าหนี้จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ หากมีการดำเนินคดีนี้ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะถ้าโจทก์ (ผู้ร้อง) ชนะคดีแล้วก็ต้องไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 91, 93แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อยู่นั่นเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ขอเข้าว่าคดีแทนจำเลย และขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลย โจทก์ในคดีดังกล่าวคือผู้ร้องในคดีนี้ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าได้ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำนวนที่ 2และที่ 3 แม้ศาลจะจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 (จำเลยคดีนี้) ก็หาทำให้คดีสิ้นสุดไม่ ประกอบกับคดีมีปัญหายุ่งยากและทุนทรัพย์สูงจึงขอให้ศาลเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาเป็นคู่ความในคดีศาลมีคำสั่งในวันนัดว่าเห็นควรไม่จำหน่ายคดีแต่ให้ดำเนินคดีต่อไปโดยให้ถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทราบคำสั่งของศาลที่แจ้งให้ทราบถึงผลการดำเนินคดีของจำเลยแล้ว ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 มิถุนายน 2530 ต่อมาศาลได้สืบพยานโจทก์ จำเลยในคดีแพ่งจนเสร็จการพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระเงินแก่ผู้ร้อง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอำนาจการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2483 มาตรา 25แต่ตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือให้ดำเนินกระบวนพิจาณาต่อไปตามคำคัดค้านของผู้ร้อง อันมีผลเท่ากับศาลไม่อนุญาตตามคำแถลงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบคำสั่งดังกล่าวของศาลแล้ว แม้ในวันนัดต่อ ๆ มาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิได้มาศาลก็ตาม แต่ศาลก็ได้ประกาศแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบที่หน้าศาลทุกครั้ง กรณีดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เข้าว่าคดีแทนจำเลยแล้ว เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แพ้คดี ผู้ร้องย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนด 2 เดือนนับแต่วันที่คดีแพ่งดังกล่าวถึงที่สุดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 93 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำสั่งศาลชั้นต้น.