คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยาง กับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม่หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิดและมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษกับอ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4)พ.ศ.2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยางยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เพียงแต่โจทก์มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 กับพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่6) พ.ศ.2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้น ตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา31 และมาตรา 69 อยู่นั่นเองการที่จำเลยกระทำความผิดหลังจากใช้กฎหมายซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่แล้วแต่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2522 และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2522 ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้น เพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้
โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยแล้วรอการลงโทษจำคุกได้ และหากปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามกฎหมายกำหนดตามที่โจทก์ฎีกาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยางในบริเวณป่าสงวนและมีไม้ยางอันเป็นไม่หวงห้ามที่ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14, 31, 35 ฯลฯ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 74,74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12, 17, 18 ฯลฯประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างลงโทษฐานทำไม้หวงห้ามจำคุก 1 ปี ลงโทษฐานมีไม้แปรรูปจำคุก 1 ปี รวม2 ปี รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 2,000 บาทรวมจำคุก 2 ปี ปรับ 4,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงให้จำคุก1 ปี ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้โจทก์จะมิได้ระบุอ้างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมโทษใหม่ไว้ในฟ้องศาลก็ชอบที่จะต้องลงโทษตามกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำไม้โดยตัดฟันไม้ยางกับจำเลยมีไม้ยางอันเป็นไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14 ซึ่งเป็นบทมาตราความผิด และมาตรา 31 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษ กับอ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 12 ซึ่งเป็นบทกำหนดโทษผู้ที่ฝ่าฝืนมีไม้ยางยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โจทก์ไม่ได้อ้างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 กับพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 ที่ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2503 แล้วบัญญัติความใหม่ขึ้นแทนเท่านั้นตามความที่บัญญัติขึ้นใหม่ยังคงเรียกว่ามาตรา 31 และมาตรา 69 อยู่นั่นเองการที่โจทก์มิได้ระบุอ้างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงมิทำให้ฟ้องโจทก์ขาดความสมบูรณ์ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนเป็นความผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีบทกำหนดโทษไว้ในมาตรา 31 และพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 69 แล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยตามกำหนดโทษในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2522 ได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติและพระราชบัญญัติป่าไม้เป็นสองกระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษแล้วรวมจำคุก 1 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 และมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 แต่อย่างใด โจทก์เพิ่งยกขึ้นว่าในชั้นฎีกา ศาลฎีกาลงโทษจำคุกจำเลยเพิ่มขึ้นไม่ได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษและลดโทษจำคุกจำเลยสองกระทงตามศาลชั้นต้น กับลงโทษปรับจำเลยกระทงละ 2,000 บาท แล้วรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยอันไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2062/2520 นั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดจึงมิชอบศาลฎีกาพิพากษาลงโทษปรับจำเลยตามที่กฎหมายกำหนดตามฎีกาของโจทก์ได้

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2522 มาตรา 3 จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 74, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 12, 18 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522 มาตรา 3 จำคุก1 ปี ปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 2 ปี ปรับ 30,000 บาท รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี

Share