คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1911/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในชั้นสอบสวนกับชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธ และไม่ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยเข้าไปใส่ปุ๋ยหรือดูแลรักษาต้นยางพาราในสวนยางพาราที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้หรือไม่และทำมานานเท่าใด กรณีอาจเป็นเรื่องที่จำเลยอาจจะรับจ้างใส่ปุ๋ยเมื่อใส่เสร็จแล้วจำเลยก็หมดภาระหน้าที่ โดยมิได้ครอบครองพื้นที่เกิดเหตุด้วยก็เป็นได้คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองสวนยางพาราที่เกิดเหตุเพื่อผู้อื่นตามความหมายของมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ
คำขอท้ายฟ้องขอให้สั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 31 วรรคสาม และพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 72 ตรี วรรคสาม ซึ่งศาลจะมีคำสั่งเช่นนั้นได้ต่อเมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิด เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าวศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยก่นสร้าง แผ้วถาง เข้ายึดถือหรือครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติบริเวณสวนป่าไชยา ซึ่งเป็นบริเวณส่วนหนึ่งของที่ดินภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติคิดเป็นเนื้อที่ 20 ไร่ ทำให้รัฐได้รับความเสียหายเป็นเงิน 1,364,884.40 บาท โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตและมิได้รับยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมมีดพร้า 1 เล่ม เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 5, 54, 55, 72 ตรี, 74 ทวิ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 4, 5, 6, 9, 14, 31, 35 ริบของกลาง และให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้างผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 1 ปี ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนที่เกิดเหตุ คืนของกลางให้เจ้าของ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยยึดถือครอบครองสวนยางพาราที่เกิดเหตุซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเพื่อผู้อื่นตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายวิชาญ ไชยถาวร และนายรังสรรค์ มหานิล พนักงานรักษาป่า สำนักงานสวนป่าอำเภอไชยาพยานโจทก์ได้ความเพียงว่า พยานทั้งสองได้ร่วมกันจับกุมจำเลยขณะที่จำเลยใส่ปุ๋ยต้นยางพาราในที่เกิดเหตุ โดยจำเลยถือมีดพร้า 1 เล่ม ของกลาง ต้นยางพาราดังกล่าวมีอายุประมาณ3 ถึง 4 เดือน แต่นายวิชาญเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานไม่ทราบว่าต้นยางพาราที่ปลูกในที่เกิดเหตุเป็นของผู้ใด จำเลยให้การที่หน่วยป้องกันรักษาป่าอำเภอไชยาว่า รับจ้างใส่ปุ๋ยในที่เกิดเหตุ บันทึกการตรวจจับกุมเอกสารหมาย จ.4 จัดทำขึ้นที่หน่วยป้องกันรักษาป่า อำเภอไชยา ไม่มีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุและนายรังสรรค์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ร่องรอยการถางป่ามีมานานประมาณ 3 ถึง 4 เดือน พยานไม่ทราบว่าผู้ใดเข้าไปถางป่า ซึ่งร้อยตำรวจโทบุญฤทธิ์เขียดแก้ว พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยได้ให้การว่ารับจ้างจากนางแดงใส่ปุ๋ยต้นยางพาราค่าจ้างต้นละ 2 บาท มีทั้งหมด 500 ต้น เพิ่งใส่ปุ๋ยได้300 ต้น ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.7 ดังนี้เห็นว่าจากคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้อเท็จจริงยังไม่ได้ความชัดแจ้งว่า หลังจากจำเลยรับจ้างใส่ปุ๋ยแล้วจำเลยได้ครอบครองพื้นที่เกิดเหตุแทนผู้ว่าจ้างด้วยหรือไม่ ทั้งตามที่นายวิชาญและนายรังสรรค์เบิกความอ้างว่าขณะจับกุมจำเลยรับว่าบุกรุกแผ้วถางยึดถือครอบครองที่เกิดเหตุนั้นก็ปรากฏว่าตามบันทึกการตรวจจับกุมเอกสารหมาย จ.4 กลับไม่มีข้อความดังกล่าวระบุไว้เลย และในชั้นสอบสวนกับชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ประกอบกับทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเข้าไปใส่ปุ๋ยหรือดูแลรักษาต้นยางพาราในสวนยางพาราที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้หรือไม่และทำมานานเท่าใด อันจะแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้เข้าครอบครองพื้นที่เกิดเหตุไว้เพื่อผู้อื่น ดังนั้น จำเลยอาจจะรับจ้างใส่ปุ๋ยเมื่อใส่เสร็จแล้วจำเลยก็หมดภาระหน้าที่โดยมิได้ครอบครองพื้นที่เกิดเหตุด้วยก็เป็นได้คดีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองสวนยางพาราที่เกิดเหตุเพื่อผู้อื่นตามความหมายของมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 หรือมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้สั่งให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุนั้น เห็นว่าคำขอส่วนนี้เป็นคำขอในวิธีการอุปกรณ์ของโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31วรรคสาม และพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 72 ตรี วรรคสาม ซึ่งศาลจะมีคำสั่งได้เช่นนั้นต่อเมื่อศาลพิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว เมื่อศาลมิได้พิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตราดังกล่าวแล้วศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งให้ตามที่โจทก์ขอได้”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง และให้ยกคำขอที่ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหตุด้วย ส่วนมีดพร้าของกลางให้คืนแก่เจ้าของ

Share