คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1907/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้สัมภาษณ์ใส่ความโจทก์เสียแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยจะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 หรือไม่ ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่ประการใดแม้เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเก้าร่วมกันให้ข่าวและไขข่าวแพร่หลายหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์พิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์รายวัน ๔ ฉบับ โดยนายอบ วสุรัตน์จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ให้ข่าวขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘, ๓๓๒, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ประทับฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาคดีนี้เข้ากับคดีหมายเลขดำที่ ๕๓๐๔/๒๕๒๗, ๖๖๙๐/๒๕๒๗, ๑๐๐๘๐/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้นและคดีหมายเลขดำที่๔๖๘๑/๒๕๒๗ ของศาลแขวงพระนครใต้ และในวันเดียวกันโจทก์ทุกสำนวนขอถอนฟ้องจำเลยอื่นทั้งหมด เว้นเฉพาะนายอบ วสุรัตน์ จำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทุกสำนวน
โจทก์ทุกสำนวนอุทธรณ์ แต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์สำนวนคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๘๑/๒๕๒๗ ถอนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ทุกสำนวน
โจทก์คดีนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมามีว่าข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์จะฟังว่าเป็นถ้อยคำที่จำเลยให้สัมภาษณ์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือไม่นั้น ยังฟังให้แน่ชัดไม่ได้ และคำที่จำเลยให้สัมภาษณ์ไม่ได้มีความมุ่งหมายถึงโจทก์ ไม่อาจถือว่าจำเลยมีเจตนาใส่ควาหมิ่นประมาทโจทก์ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์โดยวินิจฉัยว่าข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยฟังไม่ได้ว่าจำเลยให้สัมภาษณ์ใส่ความโจทก์เสียแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยจะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ หรือไม่ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่ประการใด แม้เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาในปัญหาอื่นมาด้วยนั้นเห็นว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share