แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำขอท้ายฟ้องโจทก์ที่ว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มาตรา 362,364 นั้น แม้จะมีคำว่า “พ.ศ. 2499” เกินมา ก็ย่อมเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญานั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาได้
ในคดีอาญา แม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุ ที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็น ก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา362 กรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยและบริวารได้บังอาจเข้าไปในบ้านเลขที่ 5ซึ่งเป็นบ้านของโจทก์ และได้เข้าครอบครองบ้านนี้ในขณะที่โจทก์ไม่อยู่ ต่อมาโจทก์ไปตรวจดูจึงพบ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและบริวารออกจากบ้าน แต่จำเลยไม่ยอมออก ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2499 มาตรา 362, 364
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 364 ความผิดตามมาตรา 362 ให้จำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ความผิดตามมาตรา 364 ให้จำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาทรวมสองกระทงเป็น จำคุกจำเลย 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364 ให้ลงโทษตามมาตรา 362 บทเดียว จำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะฎีกาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ตามที่ศาลชั้นต้นงดเผชิญสืบบ้านพิพาท จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามกฎหมายกำหนดให้ศาลไปตรวจ และการเผชิญสืบบ้านพิพาทก็ไม่เป็นการฟุ่มเฟือยเกินสมควรศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเบิกความว่าบ้านพิพาทเป็นของนายโอภาสพี่ชายจำเลย จำเลยเข้าอยู่โดยอาศัยสิทธิของนายโอภาส ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ของนางอินมารดาหรือนายโอภาสบุตร ฉะนั้น จึงไม่มีประโยชน์แก่คดีจำเลยอย่างไรที่จะต้องไปตรวจบ้านพิพาท เพราะแม้จะไปดูบ้านพิพาท ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยชนะคดีได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดการไปตรวจบ้านพิพาทนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย และแม้กฎหมายจะกำหนดให้ศาลไปทำการตรวจพยานวัตถุที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ไว้ก็ดี แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นก็อาจใช้ดุลพินิจสั่งงดเสียได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาว่า ศาลจะนำประมวลกฎหมายอาญามาลงโทษจำเลยไม่ได้เพราะโจทก์ไม่ได้ขอมาท้ายฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์ขอมาท้ายฟ้องว่าประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ซึ่งมีคำว่า พ.ศ. 2499 เกินมาก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญานั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่าจำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เพื่อถือการครอบครองบ้านนั้น และพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362, 364 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 362 แล้ว กรณีก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 364 อีกจึงชอบที่จะแก้เสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์